23 ธันวาคม 2551

ติดสี

เมื่อก่อนจมอยู่กับ ขาว ดำ เทา ไม่เชื่อว่าสีทำให้ชีวิตมีสุข


*ภูมิใจสุด Palette นี้มั่วมาก แต่ Rank ขึ้นกระจุย!

ติดสีเว็บนี้มาก ว่าจะเล่นตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งมาเล่นตอนทีสิส
ปกติไปนั่งดู นั่งดูด palette เก็บไว้อย่างเดียว
ที่ชอบมากก็คือ ผสมสีได้ ตั้งชื่อสีเองที่ยังไม่มีคนตั้งได้

แล้วก็มีการจัดอันดับ Rank ของสี ว่าโทนไหนมาแรง
โทนไหนเจ๋งจริง แล้วยังมีการบอกเทรนด์สีของนิตยสาร
เทรนด์สีเว็บ หรือคู่สีต่างๆ ว่าไหนเข้าไม่เข้า ใช้กันยัง
มี่ข่าวคราวรีวิว แบบทดสอบด้วยนะ ถ้าอ่านภาษาอังกฤษเก่งๆ
แต่พอดีขี้เกียจนั่งผสมสีอย่างเดียวทั้งวัน ฮ่าๆ
อ่อยังมีเอาสี test ใส่ใน pattern ที่เขาจัดไว้ให้ด้วย


*ช่องแรกคือสีที่เราตั้งชื่อใหม่
ช่อง2 เป็น Palettes สี
ช่อง3 เป็น Pattern สนุกๆ

ของใครเจ๋งจริงก็ให้หัวใจ เซฟ Favourite เก็บไว้ได้้
เอาสิเล่น 2 วัน ผสมได้ 23 Palettes ได้สีใหม่ 57 สี
เว็บนี้คนทำงานดีไซน์ไม่เข้านี่ถือว่าพลาดของแท้เลยเชียว
ของดีๆมีอยู่บนอินเตอร์เนต
ไม่ต้องไปซื้อหนังสือ Colour Harmony ให้วุ่นวาย
โฆษณาสุดๆ ลองดูกันนะเพื่อนๆ :D

WEBSITE
http://www.colourlovers.com

ID ของเรา แวะเวียนไปได้ ยังคงเล่นอยู่อีกนาน
http://www.colourlovers.com/lover/27bit


22 ธันวาคม 2551

ซ้ายเสก็ต

ในที่สุดก็ครั้งที่สามแล้วที่พรีเซ้นโอละแม่ทีสิส เรื่องมันมีอยู่ว่า
จะมาอัพเดทความเคลื่อนไหวตั้งแต่ครั้งที่สองที่พรีเซ้นข้อมูล
แต่ไม่ได้ความ เวิ่นเว้อเรื่อยเปื่อย กิน"เล่า" เข้าป่า กาลเวลาพาไป
แต่ยังน้อยก็ยังพอมีความคืบหน้าอยู่บ้าง..เล็กๆ




อย่างเช่นในส่วนของตัวข้อมูล ก็ทำตารางแยกแต่ละบทและเนื้อหาไว้
ยังดีที่สรุปข้อมูลและแยะเนื้อหาจากที่รวมมาประมาณ 100 กว่าบทความ
เอามาวิเคราะห์และหักล้างข้อเท็จจริงกันและกัน เหนื่อยสลัด!
เรียกว่าข้อมูลเข้าเส้น ตอนนี้ถามเรื่องซ้าย ถามได้ ตอบได้ ชัวร์!

สรุปว่าแบ่งเป็น 3 ต่อน คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
อดีต
ว่าด้วยเรื่องของกาลเวลา ความเชื่อ เรื่องซ้ายขวาสมัยก่อน


ปัจจุบัน
จะแบ่งเป็น 2 พาร์ท คือ

01 - เรื่องของการเกิด ทำไมถนัดซ้าย ทำไม ทำไม
02 - ปัญหาชวนหัวของคนถนัดซ้ายในโลกส่วนใหญ่เอียงขวา

อนาคต

แนวโน้มที่ไม่ปิดกั้นความถนัดซ้ายจะสูงเพิ่มขึ้น

สถิติโลกแตก แบบนี้ก้มีด้วยหรือ อีทีซี..



รูปเล่ม
พอแบ่งบทในแต่ละส่วนได้ก็มามีปัญหาในด้านรูปเล่ม
ในช่วงแรกคิดไว้ว่าจะ เปิดจากทางซ้าย อ่านแบบญี่ปุ่นก่อน
โดยแบ่ง อดีต+ปัจุบัน01 อยู่ด้วยกัน
ส่วนอีก 2 ส่วนหลัง อยู่ในการเปิดแบบหนังสือมือขวาทั่วไป
ปัญหาทางด้านการอ่านหรือเลเอาท์รูปเล่มคงไม่มีอะไรมาก

แต่มันมีตรงที่ความต่อเนื่องในส่วนของเนื้อหาและวิธีการเปิด
ว่าจะบังคับให้มนุษย์ปุถุชนอันส่วนมากถนัดขวา
เปิดจากทางซ้ายก่อนได้อย่างไร


ซึ่งในส่วนนี้ความจริงที่ปรึกษาครูแดงแรงริดบอกว่ามัน..เก๋!
แต่มันยาก แต่ถ้าคิดได้ก็ทำ แต่ปัญหาคือยังคิดไม่ออก
จึงเสก็ตอีก 1 ไอเดียคือ การเปิดแบบหน้าต่าง
เลือกเปิดซ้ายก่อน หรือขวาก่อนก็ได้ คล้ายๆ เล่มจะแยกกัน

แต่ยังไงก็ต้องลองมาเลือกดูอีกที




ต่อมาเป็นเรื่องของความคืบหน้าที่พรีเซ้นรอบสามวันนี้

Symbol
เป็นอะไรที่ชอบมากกับวิธีนับเลขพิศดารในแบบของเรา
มันสนุกตรงที่ว่าจะอ่านออกก็ได้ไม่ออกก็ได้
ความเป็นจริงแล้ว ตัวเลขเรารู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีความสำคัญอะไรมาก
ถ้าในส่วนของหนังสือคอนเสบ ที่ดีไซน์เลเอาท์ไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องกัน

เพราะคนจะเปิดเรียงไปเรื่อยๆ ไม่ดูสารบัญอยู่แล้ว (หรือมีแต่เราคนเดียววะ-*-)
แต่ที่ให้ควาามสนใจ อยากใหู้รูุ้้สึกสนุกกับการดูตัวเลข
ไม่ใช่ไม่เห็นมันสำคัญแล้วก็เอามันมาแปะไว้ ทำหน้าที่นับหน้าเฉยๆ
ดูเหงาๆ นะ..สงสารมัน เลยอยากให้มันดูมีอะไรขึ้นมา

อย่างน้อยอินิ้วมือมันก็รู้สึกสะดุดได้ ไม่ได้ห่วงว่าจะสวยหรือเปล่า
ห่วงแต่ว่าอยากให้มันมีบทบาทบ้างก็เท่านั้น
เวลาเห็นครูแดงมานั่งทายเลขก็ดูเ็ป็นอะไรที่เข้าท่าดี...ฮ่าๆ



ส่วนSymbol อีกอันคือ ส่วนที่ใช้ในชีวิตประจำวัน บอกเรื่องความเสี่ยง
ว่าชีวิตพวกคนถนัดซ้ายจะเสี่ยงเจอประสบอุบัติเหตุมากหรือน้อยแตกต่าง
อย่างน้อยๆก้พึงระลึกไว้ว่าทำแบบนี้มันจะเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว ตายง่ายกว่า
เป็นการเตือนภัยขั้นต้น ดูน่าสนุกดี





Layout (โคตรจะเสก็ต ยังไม่ที่สุด)
ส่วนถัดมาเป็นสเก็ตเลเอาท์ เน่าๆ ที่ไม่ได้มีการตีความมากมาย
อาจจะมีตีบ้างเล็กน้อย แต่ยังไม่ใช่ที่สุด แค่ทดลองเฉยๆ
ว่าจะวางตัวอักษรอะไรยังไง ลองใช้โทนสี ลองใช้texture
ลองใช้ภาพถ่าย ลอง drawing ลองทำฟ้อนเขียนมือ บลาๆ
ซึ่งมันก็ยังไม่มีอะไรลงตัวเลย เพราะผลออกมามันก็ดูคล้ายๆกัน
-*- จะแตกลายไปเพื่อ...!

แล้วจะเอาไงกับชีวิตต่อ??
ส่วนที่จะทำในส่วนต่อไปคงจะเป็นในส่วนของข้อมูลที่เอามาตีความ
เรื่องเทคนิคการใช้กระดาษ material อื่นๆ หน้าเพิ่ม การพับขึ้นลง
การเจาะ การขูด การปั๊ํม การพิมพ์ อะไรก็ว่าไป
ส่วนนี้นี่ต้องแยกตารางลงรายละเอียดแต่ละหน้า คัดเลือกวัสดุ
ไม่งั้นเวลา mock up เล่มจริงเหนื่อยแน่ๆ
ไหนจะกระดาษไม่เหมือน ขนาดอีก ปัญหาอาจจะตามมาได้ง่ายๆ

ต่อมาคือ หาสไตล์ที่จะทำให้มันดูลงตัวและเชื่อมแต่ละหน้าไปได้ด้วยกัน
เนี่ยยากมาก นั่งทำมานานแต่ไม่รุ้ว่าอันไหนเวิร์ค ไม่เวิร์ค
หลักๆคืออาจจะใช้สี Headline กำกับความต่อเนื่องไป

อย่างน้อยครูแดงก็มั่นใน Type ที่เราเลือกไป
กับสีที่มั่นใจว่าเราคุมได้ (จริงเหรอ?!)

ส่วน Symbol คงดื้อจะเอาเลขนับนิ้วแน่นอน 1 ชุด
แต่ต้องไปทำให้มันเป็นสไตล์เดียวกันกับไอคอนชุดอื่น
เพราะตอนที่ทำถ่ายรูปแล้วดราฟเอา ส่วนอันอื่น ลอกมาบ้างแล้วแก้บ้าง
เรียกว่าทำเอาส่ง แล้วก็ยังเหลือไอคอน แบ่งแต่ละพาร์ทอีก 1 ชุด
เพราะในหน้าแทรกจะมีเรื่องเกี่ยวกับ คนดัง และ แบบทดสอบ
ถ้าไม่บอกหรือแยกไว้คงจะไม่เข้าใจ อาจจะขาดๆเกินๆ
บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่าเป็นหน้าพักก็เป็นได้ (หรือคิดมากไป -*-)

ตอนนี้สรุปสั้นง่าย คือ
1.ทำไอคอนใหม่ คุมให้เหมือนกัน
2.คิดวัสดุแต่ละหน้า เทคนิค สเก็ตไอเดีย
3.วางดัมมี่ ให้ครบ 80
(80 หน้าของเรา คนขี้เมาคงโอดครวญ!)
4.หาสไตล์
5.แล้วเลเอาท์
์่
เอาเป็นว่าเหลือทั้งหมด....

แต่สำคัญ สำคัญ กว่า กว่า กว่า
ตกใจสลัด!!! ที่จะจบแล้ว แล้ว แล้ว
กุมภานี้แล้วเท่านั้นชีวิตปี 4 และ 4 ปีของเรา
สั้นยิ่งกว่าหางอึ่งโดนอึ่งอีกตัวกัด..สุดๆไปเลย

"ศิลปะยืนยาว...ชีวิตสั้น"
คงเหมือนกับ

"ทีสิสยืนยาว...ปี4สั้น"

17 พฤศจิกายน 2551

เช้าวัน MONDAY

เสร็จตอนเช้าวันจันทร์พอดี ตามสไตล์งานเผา

Campaign Title : เสียเซลฟ์
Procuct : Monkey Pants
Art Director & Copy writer : นางสาวอัสนี







พอดีเกิดอารมณ์เพี้ยน อยากฝึกสมองประลองปัญญา
ห่างหายจากการคิด Ad มานานประมาณ 3 ขุม เลยลองดูเบาๆ

ไอเดียก็เลย "เบาๆ" ตาม เช่นนี้แล..

ความจริงสเก็ตไอเดียไว้ประมาณ 108 แตกได้ 3-4 หน้ากระดาษ A4
มี visual ไว้ในหัว แต่ด้วยความขี้เกียจประกอบกับไม่ทัน
เพราะมัวแต่เอาเวลาไปดู youtube และเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ
จึงเป็นผลให้หารูปไม่ทัน จึงต้องเอา first idea ที่ง่อยที่สุดไป

บรีฟเป็นกางเกงในกระดาษ เหมาะสำหรับความรีบเร่งในยุคปัจจุบัน
ใช้ง่าย ใส่แล้วทิ้งในครั้งเดียว สะดวก เบาสบายเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทาง

ซึ่งความง่อยของ ad นี้มีหลายอย่งมาก (รู้ตัวเองดี)
1. ไม่ได้ขาย Product เลย ไม่มีทั้งกระดาษ ทั้งความรีบ
2.Idea ไม่สด และไม่แปลกอะไร first idea ชัดๆ
3.Art direction และ Copy ค่อนข้างง่อย
4.มุ่งไปที่ meassage บอกเล่าความใหม่กับความมั่นใจอย่างเดียว
5.มั่นใจว่าซ้ำกับคนอื่นแน่นอน

ส่วนไอเดียอื่นที่ชอบก็มี (แต่ก็ไม่ได้ดีที่สุดสักอัน)
- โจรมารอขโมยกางเกงในจนเงกแล้ว แต่ก็ไม่มีกางเกงในให้ขโมย
- เครื่องซักผ้า ผงซักฟอก ราวตากกางเกงใน เงียบหงอยมาก
- อาณาเขตที่ต้องป้องกันไว้ สงวนไว้ให้มนุษยชาติ
- สถานการณ์ฉุกเฉิน วินาทีแห่งชีวิตระทึกใจ
เก้า ล เก้า...

แต่สุดท้ายก็หาภาพไม่ทัน แต่ละอันแตกไม่ครบ 3 ชิ้นต่อแคมเปญ
ขนาดง่อยอย่างนี้ยังเสร็จเช้า

ทำเอา มันส์(เดย์) จริงๆ!!

09 พฤศจิกายน 2551

Think before having SEX



พอดีอยู่ๆก็นึกถึงเพลงของ John Mayer เลยมาอัพสักหน่อย..

เมื่อ 4 อาทิตย์ก่อนเห็นจะได้ โปรเจคสุดท้ายของเทอมคือวิชา Creative Thinking
ของครูวิทยา วิชานี้ตอนแรกก็เครียดอยู่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร
ในแง่ของกระบวนการคิดค่อนข้างนานกว่าโพรเสสที่ทำจริง
การที่เราคิดอะไรอย่างเป็นขั้นตอนทำให้เห็นเลยว่า
ช่วงสุดท้ายเวลาเราจะจัดการอะไรๆ มันจะทำได้ง่ายกว่าที่คิดไว้มาก
มันฝึกให้รูุ้้จักโพรเสสในการทำงานและคิดอย่างเป็นระบบ การต่อยอด

มาเข้าในส่วนของตัวโปรเจคนี้กัน...
ครูวิทยาให้เรากำหนดหัวข้อขึ้นมา โดยมีปัจจัยและองค์ประกอบคือ
เสียง ภาพ และการเคลื่อนไหว โดยไม่ใช่ในแง่ของอนิเมชั่น
แต่เ็ป็นในเชิงของการอธิบายในรูปแบบของกราฟฟิคดีไซน์
คราวนี้จึงไปคิดหัวข้อกับคู่มา เพราะคิดว่าทำคนเดียวคงไม่ไหวแน่โปรเจคนี้
ด้วยเหตุไฉนก็มิทราบได้ อัสนีกับมณฑิชา จึงเสนอหัวข้อว่า 'SEX'

เชิงกระบวนการคิดได้ผ่านการตกตะกอนจากครูวิทยาและอัสนีมณฑิชาดังนี้
ในตอนแรกเป็นเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์แบบเจอกันแล้วจากไป
เ็ป็นเสมือการจับคู่ one night stand แบบพวกวัยรุ่นทั่วไป
แต่ครูผลักให้ไปไกลกว่าในแง่ของความเป็นอาร์ต ให้ดูเป็น nude สวยๆ
แล้วไม่ต้องพูดเรื่องการจับคู่ แต่ยิงเข้าประเด็นการมีเพศสัมพันธ์
เหมือนกับว่าโดนตัดเข้าshotเลย โดยถ้าคิดจะมีนั้น ควรจะมีอย่างฉลาด
ให้เป็นกราฟฟิคจัดด้วยลายเส้นความกลมกลืนเข้ากันทั้งชายและหญิง

พวกเราก็ไปเขียนสตอรี่บอร์ดมาหลายครั้ง
ในแต่ละครั้งก็ค่อยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนได้อันที่คิดว่าน่าจะเข้าท่าที่สุดมา

จากนั้นเราก็เข้าโพรเสสในการทำคือ จะเริ่มจาการหา ref

nude งามๆ ไม่ใช่เข้าขั้น porn แค่ erotic เท่านั้น!
พอเสร็จเราก็แบ่งแภนกวาดและลงภาพเคลื่อนไหว ช่วยกันออกความเห็น
บาง scene ก็ต้องมีแบบแล้วถ่ายเอาเพื่อให้ได้ภาพที่เราต้องการมากที่สุด
จากนั้นก็ปรับสี ตอนแรกเป็นเส้นดำบน bg ขาว แต่มันไม่ได้ความรู้สึก
พวกเราจึงลงมติให้มันมืดๆ หวือหวาเล็กๆ เลย inverse สีเป็นเส้นขาว bg ดำ
ก็ออกมาพอใจได้อารมณ์กว่า เหมือนมี sex ในที่มืดเร้าใจกว่าที่สว่าง (ฮ่าๆ)
ฝ่ายวาดก็วาดไปร่วมร้อยกว่าภาพเห็นจะได้ เล่นเอาเหนื่อยพอดู
ส่วนเราก็เป็นฝ่ายตัดต่อและปรับสีภาพ ปรับเส้นอะไรเล็กน้อย
ช่วยกันทำก็สนุกดี มันสนุกตอนที่เห็นมันขยับ มือลูบไล้ไปมา้
จนกระทั่งเรียบเรียงออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว 1 เรื่อง



คราวนี้มาเข้าในส่วนของเสียง มีเสียงเป็นร้อยแต่ไม่มีอันไหนเข้ากันเลย
บังเอิญ..บังเอิญขั้นเทพ วันนั้นเพื่อนส่งเพลงของ John Mayer มาให้ฟัง
เนื้อหาความหมายเหมาะเหม็งอีโรติคเซ็กซี่ จึงเอาไปใส่อย่างไม่ต้องรีรอ..

จากนั้นเรา็ก็็มาจับประเด็นเชื่อมโยงกับการ มีเพศสัมพันธ์อย่างฉลาด
โดยอภิสิทธิ์ขออนุญาตยืม DUREX มาประกอบในงานของเรา
คิด Copy ไปมากัน 2 คน คิดไม่ตก จึงไปถามเพื่อนมายในแบบภาษาอังกฤษ
ก็ได้มาอย่างตรงโจทย์สุดๆ ผลสุดท้ายก็เอาคำของเพื่อนมายเนี่ยล่ะ ดีสุด!

จึงออกมาเป็น 'Think before having SEX' โฆษณา DUREX แบบอาร์ตๆไป

07 พฤศจิกายน 2551

ซ้ายดี ขวาดี ทีสิส


*บทความนี้ไม่เกี่ยวกับ Obama และ McCain แต่อย่างใด
ไม่ต้องห่วงเรื่องประเด็นทางการเมือง ฮ่าๆ

ในวันจันทร์นี้เป็นวันพรีเซ้นหัวข้อ Thesis วันแรก
แค่คิดไส้ก็จะแตกแล้วรู้สึกร่างกายขาดการควบคุม สติจะหลุด

หัวข้อที่เราจะเสนอและคิดในใจมานานแสนนาน พยายามที่จะหาคำตอบ
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำถามและความสงสัยในตัวเอง
การตั้งคำถามที่ว่า "ทำไมคนเราต้องเลือกถนัดซ้ายหรือขวา"
แล้วทำไมคนเราต้องถนัดแค่ข้างใดข้างหนึ่ง
หรือชำนาญการใช้งานเพียงมือใดมือหนึ่ง
ทำไม อัตราส่วนคนถนัดซ้ายหรือขวา มีไม่เท่ากัน หรือเพราะเหตุใด
โลกและคนส่วนใหญ่ถึงถูกกำหนดทิศทางให้คนถนัดขวามีมากกว่า..
คนถนัดซ้าย..จึงต้องอยู่อยู่บนโลกเอียงขวางั้นหรือ หรืออาจจะเป็นเพราะว่า
ธรรมชาติสร้างความสมดุลในแบบที่ไม่สมมาตร (Asymmetry)เอาไว้
หรือแท้จริงแล้ว บนความไม่สมมาตรนั่นแหละที่ทำให้เกิดสมดุล

เราเลยอยากลองแก้ปัญหา อยากรีเสิจ อยากรู้ อยากหาข้อมูล
โดยส่วนใหญ่ในแง่ของกรณีศึกษา ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าทำไมต้องซ้ายหรือขวา
แต่เท่าที่อ่านข้อมูลและรวบรวมจากหลายๆที่มา มันถูกกำหนดโดยยีนส์
เหมือนกับการคัดเลือกทางธรรมชาติ เช่นการจับคู่ยีนส์ XX และ XY
ยีนส์ของความถนัดก็เช่นกันเป็นการส่งต่อทางพันธุกรรม (เดี๋ยวไว้จะมาอธิบายอีกที)
และในเรื่องของอัตราตัวเลขและหลักการทางฟิสิกส์-วิทยาศาตร์-ชีววิทยาก็ว่ากันไป
ความถนัดซ้ายหรือขวามันสามารถกำหนดทิศทางของวัฒนธรรม-พฤติกรรมได้ด้วย
ข้อมูลพวกนี้น่าสนใจมาก ยิ่งทำให้อยากลองรวบรวมและแบ่ง Part แยกประเภทแต่ละวิจัยไว้

แล้วถ้าลองมาคิดในมุมมองแง่ของกราฟฟิคดีไซน์ ซ้าย ขวา มีผลกับความถนัดไหม
การออกแบบพวกอัตลักษณ์ต่างๆล่ะ ทำไมต้องซ้ายหรือทำไมต้องขวา
มีรูปแบบในแง่ของการมองเห็น และปัจจัยสำคัญอื่นๆหรือป่าว
อย่างในชีวิตประจำวันเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆก็ออกแบบมาเพื่อคนถนัดขวา
ในแง่ของ 2มิติ อย่างกราฟฟิค ซ้ายขวา หรือความถนัดสำคัญอย่างไร
ดีไซน์เพื่อคนถนัดซ้าย กับดีไซน์เพื่อคนถนัดขวาอย่างไหนยากกว่ากัน
หรือทำไมไม่ออกแบบเพื่อใช้ได้ทั้งซ้ายและขวา
ข้อสังเกตุพวกนี้ เป็นคำถามสนุกๆ ที่อยากจะลองหาคำตอบดู ..

ในฐานะที่เราถนัดซ้าย เราสามารถใช้ชีวิตบนโลกน่าเบื่อ(ที่เชื่อว่าไม่สมมาตร)อย่างสนุกสนาน
อีกแง่หนึ่งชนกลุ่มซ้ายก็เริ่มมีมากในสังคม มันน่าสนุกดีที่ทำอะไรกลับข้างคนอื่นเขา
case study ในคนถนัดซ้ายนั้นมีหลากหลายประเภทมาก ทำให้ได้รู้ว่าไม่ใช่แค่เราๆเท่านั้น
แต่ชนชาติ วัฒนธรรมก็มีส่วนในการตัดสินให้คนซ้ายได้ ขวาได้ เช่นเดียวกับการปลูกฝัง
เอาจริงถ้าคนเราสามารถถนัดได้ทั้งสองข้างคงจะดี การแบ่งแยกคงไม่เกิดขึ้น
หรือย้ำคำเดิม "ความไม่สมมาตรนั่นล่ะคือความสมดุล?"

ยิ่งคิดก็ยิ่งไกล การจะไขกลไกธรรมชาติยากกว่าตั้งสมมติฐานเปล่าๆเป็นล้านเท่า
เพราะอย่างไร กลไกธรรมชาติก็ยากที่จะเข้าใจในฐานะนักเรียนดีไซน์ง่าวๆอย่างนี้

กลับมาที่หัวข้อ Thesis .. เราสรุปแบบเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้งว่าจะทำ book design
เป็นหนังสือแนวคิดเชิงทดลอง ว่าง่ายๆก็ book conceptual และที่สำคัญคือ
ประเด็นนี้มันไม่ได้เกี่ยวโยงในระดับส่วนตน แต่มันเกี่ยวโยงในระดับส่วนรวมด้วย
บางคนอาจจะคิดว่าเรื่องซ้ายหรือขวาก็ไม่ได้สำคัญอะไร แต่สำหรับเราคิดไปถึงอนาคตเลยนะ

จุดประสงค์คือ เราอยากให้หนังสือเรามันสร้างความเข้าใจในการใช้ชีวิตร่วมกัน
แม้จะมุมเล็กๆ ไม่อยากให้มีการแบ่งซ้าย-ขวา ขาว-ดำ
(เราจะผสมแนวคิดและมุมมองของการใช้ชีวิตเข้าไปด้วย)

ส่วนเราใช้การดีไซน์แก้ปัญหาอย่างไร แน่นอนคือ ...
1.ข้อมูลต่างๆ กระจัดกระจาย และส่วนใหญ่ไร้ข้อสรุป ต้องวิเคราะห์และสังเคราะห์อีกที
2.ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่เคยมีการรวบรวมหรือจัดทำในรูปเล่มแบบหนังสืออาร์ต (เรียกง่ายๆนะ)
เพราะส่วนใหญ่มาเป็นก้อนๆ แบบโคตรจะวิชาการเลย น่าเบื่อและยากจะเข้าใจ
3.ถ้าทำได้อยากให้หนังสือสนุก เมื่อสนุกก็จะเข้าใจง่าย เมื่อง่ายก็จะเกิดการรับรู้ตามมา

และถ้าถามว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากการออกแบบหัวข้อนี้
เราคิดว่าส่วนหนึ่งที่ได้คือ ตรรกะในเชิงดีไซน์ พูดตามตรงเรียนมา 4 ปี
เราจำแนกแยกแยะข้อมูลต่ำ วิเคราะห์ก็น้อย ดีไซน์ไร้ความคิดมีเยอะเกินคณาจะนับไหว
ความอยากลองครั้งนี้ มันเลยนำพาให้ทำอะไรแบบลองใช้สมองนั่งสมาธิคิดบ้าง

ตอนนี้ก็ลองพยายามอย่างมากในการคิดต่อยอดอยู่ว่า

จะเอาที่เราดีไซน์ ออกมาเดินเล่นอย่างไร????
เดินเล่นในที่นี้คือ เดินไปสาธารณะ เราเบื่อฟอร์มและรูปเล่มที่ถูกจำกัดทางการดีไซน์
(แม้ว่าในความเป็นจริง มันก็สามารถทดลองทำอะไรได้เยอะนะ)
แต่อยากทำอะไรข้างนอกบ้าง เอาสิ่งที่เราดีไซน์ไปพบปะพูดคุยกับคนแปลกหน้าบ้าง
รอดู feedback ตอบรับบ้าง คงจะเป็นประสบการณ์ และสนุกไม่น้อย

สุดท้าย...
ตอนนี้เรากำลังรวบรวมความคิด และแบ่งบทต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยุ่
พอเสร็จจะลองคิดชื่อหัวข้อโครงการ (เนี่ยล่ะคิดโคตรยากเลย)
ยังไงก็...ขอให้คิดเสร็จในเร็ววัน เผื่อจะได้เอาดีไซน์ออกไปเดินเล่น
จะได้เอาตัวออกไปสังเคราะห์แสงหาแรงบันดาลใจกัน


*อ้อ!ลืมบอก..Obama กับ McCain เกี่ยวที่ว่า ทั้งสองถนัดซ้าย..

02 ตุลาคม 2551

นิเทศกาล


*ภาพประกอบต้นฉบับโดย ปกป้อง

บทเรียนที่น่าจดจำ ..

นิเทศกาลคือการร่วมแรงร่วมใจ อาจจะเรียกได้ว่า
สานต่อจากโครงการ CITY SENSE
ที่เพื่อนๆ scene23 อยากจะจัด exhibition ก่อนจบ
และแล้วก็มาถึง ฤกษ์งามยามดีที่ได้เวลาของ..


*โปสเตอร์แบบเสร็จสมบูรณ์

"นิเทศกาล" ชื่องาน exhibition ของพวกเรา

แต่แล้วอยู่ๆ ..
งานก็เร่งเลื่อนเร็วเข้ามา กระชั้นมากภายในเวลาอีกแค่ 1 สัปดาห์


*โปสการ์ด แจกภายในงาน


*tag ติดงาน

หรืออาจจะเร็วกว่านั้น สิ่งที่น่าทึ่งคือ ...
การร่วมมือกัน ทำให้ทุกอย่างมันรวดเร็ว และกำลังดำเนินไปได้ดี
อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็น แต่ทุกคนเต็มที่มาก
เพราะพวกเรา.. เลือกที่จะสู้


*ไวนิล ชนาด 1.2x4.8 ห้อยลงมาภายในงาน

พร้อม ทุกอย่างพร้อม พร้อมที่จะ set งานในวันรุ่งขึ้น
แต่ก็มีปัญหามาให้เราแก้ แก้จากการกระทำของพวกผู้ใหญ่
พวกผู้ใหญ่ที่สะเพร่าและไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อสิ่งเกิดขึ้น
พวกเราโปรโมทงาน บอกรุ่นพี่ อาจารย์ เพื่อนๆต่างมหาลัย
พวกเราเมาท์กรอบงาน ซีร่อกใบปลิว เลือกบอร์ดที่จะเซตติ้ง
พวกเราทำความสะอาด เตรียมอุปกรณ์ และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้

สิ่งที่ได้รับคือ "อย่าตระหนก แค่เลื่อนงานออกไป"
ในที่นี้เราจะดีใจมาก ที่ตอนแรกเราขอเลื่อนแต่ไม่ให้เรา
แล้วก็เลื่อนงานของเราเร็วเข้ามา เราก็พร้อมก็โอเค
แต่ที่แย่คือ เราทำงานเสร็จและพร้อมตามกำหนดวัน set งาน
แล้วตอนเย็นวันนั้นขอเลื่อนงานไปเป็นอีกเดือน
..........เด็กเล่นขายของ??

อย่าถามว่าความเสียหายเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน
แต่มันเกิดขึ้นแล้ว

เราไม่พาลที่จะไม่จัดอีก เราจะจัด แต่ไม่จัดกับพวกคุณอีกต่อไป
เพราะ ณ ช่วงเวลาที่พวกคุณกำหนดมา จุดนั้นเราคงทำ Thesis กันแล้ว
แล้วพวกเราเก็บแรงไปสู้ในการจัด thesis exhibition ต่อไม่ดีกว่าหรือ
สู้เราไปสู้กับคนอื่นดีกว่า ที่จะยอมโง่มาสู้กับพวกคุณอีก

ขอบคุณ SKETCH-U และ HONDA (+Freedom Cafe)
ขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้บทเรียนและเห็นน้ำใจของเพื่อนๆทุกคน
และที่สำคัญคือ...

"พวกเรามีความรับผิดชอบมากกว่าพวกคุณ"

Special2 ภาคจบ


ในที่สุดก็เสร็จสิ้น สเปเชี่ยลโปรเจคตัวที่ 2 ออกมาเป็น book หน้าตาเยี่ยงนี้แล

จากประสบการณ์ใรการทำสเปเชี่ยลตัวนี้สอนให้รู้จักกับการวางแผนงาน
ทำให้ความคิดดูเป็นระบบมากขึ้น แถม...ทำให้เราแถเก่ง
มันฝึกการแก้ปัญหาและการสเก็ตงานได้ดี ฝึกให้คิดจนสุดทาง
แม้ว่าจะไม่ได้ดีที่สุดทุกอัน แต่ก็ทำให้เราได้พยายามที่จะคิด
มากกว่าแค่คิดได้เท่านี้ แล้วก็พอแค่นี้ อีกอย่างมันทำให้เราได้เห็นว่า
ไม่มีอะไรถึงที่สุดจริงๆ ศักยภาพของเรามันมีพอที่จะทำต่อไปได้
ถ้าเชื่อว่าทำได้ ยังไงก็ต้องทำได้!



โปรเจคนี้ทดลองคิดโดยแตกเป็น 20 ชิ้นงาน
เราเริ่มคิดจากการจดคติดีๆ ที่มาจากตัวเองที่ชอบก่อน
จากนั้นค่อยพยายามหาสัตว์ที่มีอุปนิสัยคล้ายกับส่วนที่เราลิสต์ไว้
มันยากตรงที่หายังไงก็ได้สัตว์ไม่ครบตามอุปนิสัยเหมือนในคติ



แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะรับไหว มันฝึกให้เราที่พยายามจะคิดต่อให้ไกลกว่า
ลองเปลี่ยนวิธีคิดดู ลองเริ่มคิดจากอุปนิสัยสัตว์ แล้วลองเริ่มเขียนคติจากสัตว์ดู
ก็แก้ปัญหาคร่าวๆได้อีกเปราะนึง..
อย่างน้อยก็เป็นทางออกที่ดีกว่าที่จะหมกมุ่นอยู่แต่วิธีเดิมๆ



การทดลองมันสนุกตรงนี้ สนุกตรงที่ได้คิด ได้ศึกษาวิธีการใช้ชีวิตของสัตว์
แทบจะดิสคัฟเวอรี่เลยทีเดียว



ผลสุดท้าย โปรเจคนี้ชอบมากกว่าโปรเจคที่แล้วอย่างมาก
รู้สึกจะเป็น book ที่ค่อนข้างพอใจมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา

อาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่พอใจที่สุด
ความพอใจ มันเกิดจากความสนุกและมีความสุขที่ได้ทำ

ขอบคุณแรงบันดาลใจหลายอย่างๆ
ขอบคุณครูแดง และเพื่อนๆที่สร้างแรงบันดาลใจดีๆให้

เล่มนี้เป็นเล่มที่โคตรรรรร ทำออกมาจากใจ

19 สิงหาคม 2551

Special ภาค2


*ก่อนมดมางับ

ส่งหัวข้อครูแดงไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน
ทำเกี่ยวกับ Typography ...
ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของการดำเนินชีวิต ใน 20 ชนิดสัตว์
ออกมาผ่านตัวอักษรพร้อมๆ กับบอกข้อคิดในชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย
อยากทำเป็น book ที่เล่าเรื่องราวได้ด้วยชีวิตการต่อสู้ของสัตว์
ไม่ว่าจะหาอาหาร แย่งชิง การเป็นผู้ล่า การเป็นตกเหยื่อ
สัตว์ในแต่ละวงจรมันสะท้อนความเป็นมนุษย์ได้ดี

งานชิ้นนี้ได้อินสไปเรชั่นมาจาก malcolm clarke
จำได้กลายๆว่างานที่ไปเจอนั้นเป็นงานทดลองตอนเรียนอยู่
ดูแล้วน่าสนุกมาก เลยสร้างแรงบันดาลใจให้อยากทำ

แต่ก่อนหน้านั้นมีหัวข้อไว้ในใจ แต่ยิงตกไปเพราะไม่มีประเด็นพอ
มันก็แค่อยากทำ อยากลองทำ แต่ไม่ได้มีเมสเสสอยากบอกเล่าอะไรมากมาย
แต่ไม่เป็นไร ไว้ว่างๆคงจะทำแน่นอน เพื่อความสุขในชีวิต

มาเข้าเรื่องไทโปมีชีวิตต่อ
เหมือนตอนนี้คลำไปไม่ถูกไม่รู้ว่าจะทำสไตล์คาล์ก
คือการเอาสิ่งมีชีวิตมาทำไทโป แล้วใช้การถ่ายภาพ
หรือว่าจะทำในแบบเวกเตอร์ดี อิลลัสเสตรทดี
แต่ที่พอจะทดลองทำก็มีออกมาเป็นอย่างนี้


*วันนี้ตัว L หายไป ตัว E แหว่งไปครึ่ง น่าตั้งกล้องมาก!

ไว้มีความคืบหน้า คลำทางไปถูกแล้วจะลองมาลงใหม่นะ
สู้ๆ!!

08 สิงหาคม 2551

Special ภาคจบ





จบไปแล้วสำหรับสเปเชี่ยลงามๆ
เสียเงินเยอะแยะมากมาย..ไปกับค่าปริ้น
เหตุเพราะไม่มีการเตรียมแผนไว้ล่วงหน้า
บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า

"อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อย"



ท้ายที่สุดมันก็แค่แพกเกจจิ้งเครื่องหอม
...
เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับลายมากไป
จนลืมสนใจองค์ประกอบอื่นๆ

เวลาเหลือน้อย แต่เวลาไม่ผิด
ผิดที่สมองไม่ดี คิดงานไม่เป็นระบบ



งานครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี
ได้ลองของใหม่ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ
เรียนรู้ตัวเอง ว่าชอบไม่ชอบ
และสิ่งที่ควรทำกับที่ไม่ควรทำ
มันสอนเราได้ดี..

ฝากไว้ ทำอะไรคิดให้หนัก
จะได้ไม่ต้องมาร่ำไห้ทีหลัง

เหนื่อยไปก็ใช่ว่าจะดี
ฮะฮะ..

งานนี้โดนคอมเม้นหนัก
แต่ก่อนหน้านี้็้ค่อนข้างรู้ตัว
ว่างานไม่ได้มีเมสเสสล้ำลึกมากมาย
ผลสุดท้ายมันก็แค่เอามา Decorate
แต่ที่สำคัญคือลายที่จะสื่อได้มากน้อยแค่ไหน
ตั้งใจทำนะ พยายามอย่างมากที่จะสื่อออกมา
ให้ได้ในแบบที่คาดหวังไว้

แต่สุดท้ายก็ได้แค่ "สวย แต่ไม่มีไอเดีย"

ทิ่มแทงเลยคำนี้ ...

คงตั้งใจเกินไป งานแรกถือว่าทดลอง
พลาดบ้าง พลั้งบ้าง
ถือว่าเตือนสติ และเป็นบทเรียนราคาแพงที่ดี

ส่วนนึงที่ได้เรียนรู้นอกเหนือจากที่พูดมา
ก็คือการออกแบบ Plan ในแพกเกจจิ้ง
ไม่ยากอย่างที่คิด แต่ยุ่งกว่าที่คิด
ยุ่งมาก และทรมานกายและใจมาก
เหนื่อยนะ ทำ mock up เนี่ย

เป็นการตอกย้ำที่ดีที่ว่าเราไม่ชอบ Packaging
เคยคิดไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่ามันเป็นอะไรที่ไม่มันส์เอาสะเลย
แล้วก็เรื่องจริง ตอกย้ำได้ดีทีเดียว

เพราะฉนั้น Packaging กับเราคงต้องห่างๆกันซักระยะ
ยังไงก็ตามแต่สเปเชี่ยลตัวที่สองต้องทำ ไทโปให้จงได้
สนุกกับมันส์ให้ได้ แล้วทุกอย่างจะดีเอง

ลุยย!

05 สิงหาคม 2551

วงจรเตาอัติโนมัติ

อะไรหลายๆ อย่างก็ทำให้พวกเราเรียนรู้ สิ่งที่ทดลองมา รู้สึกได้ว่าเราได้ก้าวข้ามอะไรบางอย่างมาแล้ว กล้าขึ้น... พร้อมขึ้น รับความเป็นจริงของโลกได้มากขึ้น เคยคิดอยู่ตลอด....ว่าจินตนาการกับความฝันมักจะหายไปตอนเราโตเป็นผู้ใหญ่ นั่นเป็นเพราะ เราถูกสิ่งแวดล้อม สังคม ประเพณี "หลอม" มา เหมือนเข้าเตาแล้วปั๊มๆๆ ออกมา บางคนเกิดจากการปั้นมือ บางคนออกมาตามระบบอัติโนมัติ มีแบบแผน ใครๆ ก็อยากมีชีวิตในอุดมคติแบบปั้นจากมือมากกว่า แต่ทว่าในความเป็นจริง สังคมและความเป็นมนุษย์ ยังคงต้องยึดอยู่กับกฏเกณฑ์ของการเอาตัวรอด ถ้าจะดูวงจรชีวิต มนุษย์คือสัตว์ที่มีวงจรอุบาทว์สุดในทุกๆสายพันธุ์ เรื่องของเรื่อง มีอะไรบางอย่างที่ชักจูงเรา แต่ที่สำคัญมันจะไปไม่ได้ ถ้าเราไม่ตามมัน เพราะอยากรู้ อยากลอง จึงเข้าไปสัมผัส แล้วอะไรต่อมิอะไรที่ว่าก็เลยเถิดมา ณ จุดนี้ มานั่งนึกแล้วขำ ตัวเรางี่เง่ายิ่งกว่ามนุษย์เตาอัติโนมัติอีก คิดเสมอว่าชีวิตตัวเองปั้นได้ ที่แท้ก็ หนีไม่พ้น...วงจรเดิมๆ มนุษย์ที่จะปั้นชีิิวิตในอุดมการณ์ได้ เขาคงต้องละทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างมาก คงจะต้องเสียสละยิ่งกว่าเสียสละ ปล่ิอยให้ดินเปื้อนมือ ตกหล่นไปบ้าง แต่พวกมนุษย์อัติโนมัติคงเป็นพวกเสียไม่ได้ เพราะคิดว่าทำได้ รออีกหน่อยเดี๋ยวก็ได้ปั้นเอง แม้จะผิดพลาดก็อัดเข้าบล๊อคปั๊มใหม่ เจียนเสียทิ้งไปก็รอหลวมแล้วมาหลอมใหม่ มนุษย์พวกนี้จึงเป็นพวกที่อดทนสูง มีฝันแต่ไม่เคยได้ทำ จึงมารอปั้นดินใหม่ต่อๆไป เมื่อดินใหม่ทำไม่ได้ก้ต้องเข้าแผนเดิม ส่วนเสียก็ทิ้งไม่ได้ เก็บไว้รออัดบล๊อค เลยกลายเป็นพวกมีแบบแผนวงจรตามอัติโนมัติ น่าเบื่อ ไร้รสชาติสิ้นดีิ แต่ทำไงได้... ก็ดันเดินเข้าสายพานไปเองนี่ ก็ต้องรอให้อัดบล๊อคได้ก่อนละกัน อย่างน้อยๆก็ยังมีเวลาอีกหลายขั้น หลายตอน..ถ้ามันยังไม่แตกก่อนแพกลงกล่องก็เป็นอันใช้ได้

นั่นคิดอย่างมนุษย์เตาอัติโนมัติ

22 กรกฎาคม 2551

Special ภาคต่อ


*งานอาเฮีย Steven Wilson แบบฉบับตัวจริง

อ่าไม่ได้ไปพบปะพูดคุยตามประสาสเปเชี่ยลกับครูแดงอีกเลย
จวบจนบัดนี้สิริรวมเป็นเวลา 2 อาทิตย์ได้ เหอๆ
สงสัยครูแดงจะเริ่มคิดถึงเราแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงค่ะครู
หนูทำเสร็จ 1 ลายแว้วววววววว


*งานเรา อยากบอกว่าตอนทำไม่ได้ดูต้นฉบับ
แต่ออกมานี่ อืม...-*-

คาดว่าจะไม่เยอะแยะไปกว่านี้แล้ว เราว่านี่เรียบที่สุดแล้วนะ
คงจะไม่เติมสีอะไร นอกจากเปลี่ยนสีอย่างเดียว
ไหนๆก็ฝืนใจทำมาถึงขั้นนี้ ขอสีที่เป็นแบบเราและกันนะ
พาสเทลไม่ไหวว่ะ
มันไม่ใช่!

งานนี้เป็นงานที่ไม่ใช่ตัวเราที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมา
รู้ได้เลยว่าทำอะไรที่ไม่ถนัดมันยากและเยินมาก
เห้อ..เอาวะ อย่างน้อยก็ต้องทำให้เสร็จละนะ

หึ..

17 กรกฎาคม 2551

ขายไม่ออก

โปรเจคชีวิตจริง...เจอเข้าไป



ก็น่ะทำลายเสื้อเอาไปขายเขา
ก็ไม่รู้ว่าขายออกไหม แต่ที่แน่ๆเขาไม่เอาลายทำนองนี้
เลยยังไม่ได้เอาไปขายล่ะ
กั๊กไว้ เป็นลายที่ทำสนอง need ตัวเองสุดๆ
เอามาแปะเล่น

เฮ้อ...ชอบจัง แต่เธอคงไม่ชอบสินะ
เรารู้!!!!

Lykke Li



อาจจะเชยมากถึงขนาดที่พลาดเธอไป 3 เดือน..
เธอดังเปรี้ยงปร้างในช่วงออกซิงเกิ้ลใหม่เดือนเมษา

ที่เอาเธอมาเพราะว่าปิ๊งทันใด..
อยากจะจำเธอไว้ในสมองซีกซ้ายและขวา
เพื่อนสาวกาดจี้ส่งมาให้ดูทาง Youtube
ท่าเต้นอันพึลึกพิลั่น กับสไตล์จัดๆ
บวกเสียงเหมือนเด็กเพี้ยน มันเปรี้ยวใจว่ะ!

Lyke Li อายุ 22 ตอนนี้เราก็ตามไล่ฟังงานเธอ
ไปเกือบ 4 ซิงเกิ้ล ก็โง่ๆอยู่ด้วยไม่รู้จะไปหาฟังได้ที่ไหน

แนวเพลงจัดว่าสไตล์มาก ถ้าใครไม่ชอบก็ไม่ชอบเลย
ใครชอบก็ชอบเลย แต่ส่วนใหญ่ชอบสไตล์นางกัน
เราไม่ได้ปิ๊งเสียงนางเหมือนที่ฟัง Robyn
เพราะแทบไม่รู้เลยว่านางแรง..เปรี้ยวใจได้อีก
แต่มาชอบก็เพราะดู MV กระตุกๆ เพี้ยนๆแต่เท่ห์
เลยพาทำให้อยากฟังเพลงไป ...
อาร์ตไดเรกเตอร์ใน MV มันส่งผลต่อความชอบได้เลยนะ

จากนั้นเลยไปกดโดนเพลงนึง เพลง Tonight
โอ้วพระเจ้า ขนลุก...เพราะมาก ไม่มี MV
แต่เสียงมีเสน่ห์มาก เสน่ห์ของการฟังแนวที่เราไม่ได้ฟังบ่อยๆ
คือ เมื่อฟังครั้งแรกไม่เพราะว่ะ แปลกหู
พอมาฟังอีกทีเฮ้ยเพราะดีเหมือนมันนะ มันจะเป็นแบบนี้

Li เซ็นสัญญากับ LL recording เดือนกุมภา
แล้ว debut อัลบั้มแรกเดือนเมษาเลยในสวีเดน
เขาว่ากันว่าเธอคือ beautiful swedish indie poppers
เสียง Li อธิบายได้ง่ายๆว่า

"a mix of soul, electro and powdered-sugar pop”
จาก thegaywitch.wordpress.com

ถ้าอยากรู้จริงไม่จริงฟังซิงเกิ้ล Little Bit ใน Youtube
แล้วจะรู้เอง..

เธอนั่นเอง


*ไทโปชิ้นแรกในชีวิตที่ภาคภูมิใจ


วันนี้...
เราเอาของเก่ามาขายกิน..



พอดีวันนี้นั่งลื้อแฟ้มเก่าๆ เอามาจัดเรียงใหม่
ก็เลยไปเจองานไทโปเก่าๆเข้าให้
มันช่างดลจิตดลใจอะไรอย่างนี้
เลยแค่อยากเอามาหวนระลึกถึงกันในวันวาน


* นำ font ของ Hammerhead มาเป็นต้นแบบในการทำคาแรคเตอร์แบบไทย



มีทั้งงานตอนยังเยาว์ ปี2 และเด็กน้อยปี3
ฝีมือต้องได้รับการขัดเกลาพัฒนาอีกเยอะนัก

วิชานี้จำได้ว่าเป็นวิชาตอนปี2ที่อยากเรียนที่สุด
แล้วก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง
แต่......มันทำให้เราค้นพบว่า
เธอช่างเข้าถึงยากนัก เธอดูละเอียดละออ
ผ่านการรังสรรค์ ปรุงแต่งมาอย่างประณีต
เธอดูมีจิตวิญญาณ..
เสน่ห์อย่างหนึ่งของไทโปคือความเป็นเอกเทศ
ฟ้อนแต่ละตัว มันมีเอกลักษณ์ มันเหมือนคน
เหมือนคนประเทศไทย คนประเทศฝรั่ง (ดูชนบทเชียว)
เหมือนคนชอบเพลงป๊อบ ก็จะมีเอกลักษณ์แบบป๊อบๆ
คนชอบเพลงร๊อค เธอก็จะดูเอะอะโวยวาย
บางนางก็ดูนิ่งเรียบเงียบสงบ ได้ทุกสถานการณ์
น่ารักดีเนอะ มันไม่ใช่แค่เอกลักษณ์
แต่เราอ่านเธอได้ เธอเป็นตัวแทนของเสียง
ตัวแทนของความนึกคิด...
เธออยู่เฉยๆว่ะ แต่เธอก้พูดได้ สื่อสารได้
แม่ง...โคตรเจ๋ง.........!

เราว่าอย่างหนึ่งที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของมนุษย์เราคือ
การสร้างตัวอักษรนี่ล่ะ มันบ่งบอกถึงอารยะนั้นๆ

เราชอบเธอนะไทโป..
เราจะพยายามทำความรู้จักเธอให้มากขึ้นนะ
เราสัญญา!


*งานนี้ถึกสุดยอดมาก นิทานไทโป ให้ไทโปเล่านิทานให้ฟัง
เรื่องสุนัขจิ้งจอกกับหน้ากาก
แต่กลายเป็นลูกหมากับหน้ากากรัสเซีย ฮ่าๆ

02 กรกฎาคม 2551

Special

"AMAZE"

เป็นชื่อที่ครูแดงลงมติให้ผ่านเป็นแบรนด์สินค้าตัวใหม่
ดูสูงส่งเนอะ ความจริงแล้วเป็นสินค้าขายความฟุ้ง
Aroma ก็ไม่ใช่ น้ำหอมก็ไม่เชิง เหมือนขายเป็นคอนเสบมากกว่า
แนวๆประมาณว่าเป็นอุปกรณ์จรุงจิต ปลุกจินตนาการอะไรเทือกนั้น
แต่ไม่รู้ว่าจะพัฒนาให้มันจรุงจิตเหมือนที่คิดได้รึเปล่า
ผลสุดท้าย มันอาจจะกลายเป็นแค่
การออกแบบแพกเกจจิ้งกำยาน...จบกัน


*Steven Wilson - ย้อยๆไหลๆสไตล์Psychedelic

สเปเชี่ยลโปรเจคชิ้นนี้เหมือนให้ทดลองเล่นกับ Style ที่ชอบ
สไตล์ที่หามานั้นก็...ไม่เชิงชอบ มันลุ้นๆมากกว่า
พูดจริงๆ ยากนะที่จะเล่นอะไร ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง
อย่าที่ครูเคยว่าไว้ ตอนนี้ลองอะไรได้ก็ลองไป
เราก็คิดเสมอนะว่าที่สำคัญที่สุดมันไม่ใช่แค่พอร์ตเก็บงาน
แต่มันเป็นกระบวนการที่เราได้เรียนรู้มันมากกว่า


*LOGO - AMAZE

2 อาทิตย์ผ่านไปสำหรับการดูเสก็ต ก็ยังไม่มีอะไรคืบ
ได้แต่คอนเสบกับการหาเรฟอยู่อย่างนั้น
แต่ก็ได้ LOGO ไปหน่อยนึงละ พอลุ้นๆ

ส่วนแพกเกจจิ้งที่คิดไว้ อยากได้แบบ experiment มากๆ
แต่คิดว่าคงไม่ทัน เพราะหา materialในการทำยากและเยอะ
อีกส่วนหนึ่งคือ อิลลัสสเตรทมันค่อนข้างฟุ้ง
คงจะเยอะไปมากถ้าทำหลายกระบวนการ

ที่ได้ตอนนี้คือชื่อกลิ่น 4 กลิ่น
และเอาความเป็นเทพกรีกกับไซคีเดลิคมาผสมผสานกัน
คงจะแปลกดีไม่น้อยนะ
ที่เหลือก็คงจะเป็นแพกเกจจิ้งกับตัวดีไซน์
จะแก้ปัญหาอย่างไรให้มันดูฟุ้งฝันไหลย้อยมากที่สุด

แต่อย่างน้อยๆโปรเจคนี้ก้ได้ทดลองคิดอะไรใหม่ๆ
ทั้งๆที่ ไม่ชอบแพกเกจ ทั้งที่ๆไม่ชอบสไตล์ทำนองนี้
แต่ก็น่าสนุกดี ลองลุ้นสักตั้ง

20 มิถุนายน 2551

Linn Olofsdotter


*Self Portrait

ลินน์ โอลอฟส์ดอทเทอร์ (ไม่แน่ใจว่าอ่านถูกป่าวนะ)
เธอน่าสนใจมาก เห็นงานเธอครั้งแรกที่แถบลิงค์ด้านข้างเว็บในไซค์หนึ่ง
ทำให้สายตากับมือประสานสัมผัสกันโดยการกดคลิกเบาๆ 1 ที
แล้วก็ได้ประจักษ์




งานของลินน์มีเอกลักษณ์โดดเด่น เขียนภาพประกอบเด็กก็ได้ ผู้ใหญ่ก็ดี
ส่วนใหญ่จะใช้หมึกดำตัดเส้นกับสีพาสเทลอ่อนๆ บ้างก็ดุเดือดแอบสแตรค
ใช้มึกดำละเลงๆ ผสมคาแรคเตอร์ที่มีลักษณะไม่สมประกอบก็ดูเท่ห์ไปอีกแบบ



*The Bouquet - SAMSUNG

งานของลินน์มีความร่วมสมัยสูงมาก มีความเป็นโมเดิร์น และคลาสสิคร่วมกัน
ด้วยความคอนเทมโพลารีทำให้งานของลินน์ดูแฟชั่นมากๆ เช่นเดียวกัน

ส่วนใหญ่จะมีหลากหลายแนวตั้งแต่ลายเส้นธรรมดา ผสมสีน้ำอ่อนๆกับหมึกดำ
จนกระทั่งคอลลาจแบบแฟชั่นกับลายเส้นบางๆจนถึงการใช้เส้นดรออิ้ง
การผสมผสานเหล่านี้ชี้ให้เห็นเลยว่า ลินน์ได้ผ่านการทดลองมากอย่างหลากหลาย
ทำให้เขาค้นพบสไตล์ของตัวเอง แล้วมันได้กลายเป็นโลโก้แปะที่ตัวลินน์ไปแล้ว



*Beatnik girl - Levi's Europe

ลินน์ เป็นคนสวีเดน เธอได้สำรวจแทบทุกซอกมุมของการเป็นอาชีพอิลลัสเตรส
หลังจากสำเร็จการศึกษาในด้าน advertising และ graphic design

ทั้งในยุโรปและอเมริกา เธอย้ายมาอยู่ที่บราซิลเริ่มต้นทำ motion graphic
เปิด studio กับสามีและเพื่อนครีเอทีฟ หลังจากนั้นไม่นานนักเธอก็เป็น
Senior art director ที่ Boston advertising agency
(ฟังแล้วน่าขนลุก อยากเป็นบ้าง)



*TOILET - Laperla

ในช่วงระหว่างอาชีพการงานของเธอนั้น เธอเคยใช้ทักษะอันสูงส่งช่วยแบรนด์
TV networks อย่าง Fine Living,MTV, และ Anime Network มาแล้ว
ปัจจุบันลินน์คนเก่งทำงานอย่างเป็นเอกราชอิสระไม่ขึ้นตรงต่อบริษัทใด
ทั้งในในวงการแฟชั่น โฆษณา บรรณาธิการหนังสือ อย่าง Oilily, La perla

และ Bon Magazine

เธอเป็นผู้หญิงเก่งในระดับที่น่าทึ่ง ส่วนหนึ่งที่มาสนใจงานประเภทนี้คือ
เป็นงานที่ค่อนข้างผ่านการทดลองมาอย่างโชกโชน (ทึกทักเอา)
คงไม่มีใครสามารถตัดแปะภาพพร้อมๆ กับดรออิ้ง และหยดหมึก แถมเอาสีน้ำไปป้ายๆๆ
ได้อย่างอลังการวิจิตรในครั้งเดียว โดยที่ไม่เคยได้ทำหรือได้เริ่มทดลองมาก่อนเลย
นั่นเลยทำให้คิดในชั่วแว๊บหนึ่งขึ้นมาว่า ศิลปะมีความใกล้เคียงกับวิทยาศาตร์เล็กๆ
แต่มันต่างกันที่...ศิลปะไม่มีผิดและถูก ไม่มีทฤษฎี ไม่มีสูตร ไม่มีกฏตายตัว
มีแต่สนับสนุนกันให้มันเป็นไปตามอัตภาวะโลก ตามอารมณ์อันพิศดารของมนุษย์
ศิลปะ มันคือการเรียนรู้ธรรมชาติ(ยืมพี่คุ่นมาใช้) ในขณะที่วิทยาศาตร์พิสูจน์ธรรมชาติ
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะศิลปะหรือวิทยาศาตร์ หรือหนอน หรือคน ก็ยังต้องอยู่ร่วมกันบนโลกอยู่ดี

19 มิถุนายน 2551

Business Card



นึกขึ้นได้พอดีไปเปิดเจอแฟ้มรูปที่เก็บมาตอนฝึกงาน
เห็นพวก Business Card น่าสนใจเลยเซฟมายล

ไอเดียแต่ละคนนี่เจ๋งๆ ทั้งนั้น
แล้วก็มาจ๊ะเอ๋รูปนี้

ไอเดียเดียวกับ Habitat ที่ได้ best graphic ของB.A.D ปี2007
แค่วิธี Execution ต่างกัน ไม่แน่ใจว่าชิ้นไหนมาก่อน
แต่เอาเป็นว่าคิดช้าคิดเร็วมันก็ต้องมีบ้างที่ซ้ำกัน ไม่แปลก
แต่มันอยู่ที่ว่าใครเร็วกว่านี่ล่ะ ยิ่งพวกเราเกิดช้า คิดยังช้าอีก
สงสัยจะตามรุ่นใหญ่ๆไม่ทัน !!!


*ชอบๆ ฮ่าๆๆ ฉันรัก(เงิน)คุณ!!