19 ตุลาคม 2552

Just Show!

เก่าไปไหม ? ...



งานแสดงตั้งแต่เดือนกรกฏาคม ล่วงเลยมานานปีดีดัก
แต่อยากเอามาจั๊ส-โชว์! อีกที ตัวนี้เป็น poster ที่ไฟนอลแล้ว
ชอบๆ ไว้ว่างๆ จะปริ้นมาแปะห้องเล่น ตัวคนทำเองไม่มีเก็บ ฮ่าๆ
Key Visual อยู่ตรงโทรทัศน์...
เปรียบเสมือนเราเป็นรายการมากมาย หลากหลายให้เลือกชม
เพราะของเราแบ่งเป็น 3 สาขา แล้วก็ทำ Icon ออกมาแบ่งประเภทงานไว้
พอได้ key visual ก็เอามาแตกได้บานตะไืท เพื่อนๆ ช่วยกัน





งานนี้ได้ประสบการณ์ดี เห็นน้ำใจเพื่อนที่มาช่วยงาน
งานก็ไม่ได้ดีเด่เท่าคนอื่น เพราะด้วยงบประมาณ และกำลังคนเท่าที่มี
พวกเราทำกันเ้อง เสียน้ำเหงื่อบ้างอะไรบ้าง ก็สนุกสนานดี
อะไรในวันเก่าๆ พอมองย้อนกลับไป พวกเราทำได้ขนาดนี้ก็เจ๋งแล้ว...

Live Borderless

ตามล่าหาโฆษณาตัวนี้มาทั้งคืน ในที่สุดก็เจอจนได้



ชอบ Key message และความหมายในนี้มาก
โฆษณาของ LG ตัวนี้มี 2 ตัว Fly for Freedom กับ Dive into Freedom
แต่ที่ในไทย น่าจะมีแค่ Dive into Freedom
เป็น Copy ที่ simple แต่มัน Touch ดี (ดูใช้ศัพท์สูง)
เอาง่ายๆ ชอบจัง ...ลองดูนะ

"Are we forget how to be FREE?"

16 มิถุนายน 2552

La Roux



วันนี้อยากเขียนถึงวงนี้ กำลังอยู่ในกระแสที่ต้องดูต้องฟัง ติดตราตรึงใจมาซักระยะแล้ว
ความจริงระยะแรกที่สนใจจริงๆคือ ฟ้อนชื่อวงที่ออกแบบ มันดู Electro ดี แถมเรียบเก๋ดูดีเข้ากับสไตล์เพลงมากลงตัวเป๊ะ

La Roux เป็น อิเล็กโตรป๊อปสัญชาติอังกฤษ เริ่มมาจากการเป็นดูโอแบนด์ ในวงคือ Elly Jackson เป็นทั้งนักร้องและเล่นดนตรี ในขณะที่ Ben Langmaid เป็น Co-Produce และ Co-writer ตัว Jackson เองเล่าว่าพวกเขาแบ่งกันครึ่งๆมาตลอด ไม่เหมือนกับโปรดิวเซอร์ที่เป็นแค่ outfit ภายนอกของนักร้องทั่วๆไป แต่ทว่าคนส่วนใหญ่ก็จะจำ La Roux ในลักษณะ Solo Act มากกว่า ดนตรีของพวกเขาได้รับอิทธิพลมาจากยุค 80 แบบ Synth pop ซึ่งยกตัวอย่างวงในยุคนั้นเช่น Eurythmics Depeche Mode The Human Leage Yazoo และก็วง Prince



ข้อมูลส่วนตัวเล็กๆของ Elly Jackson เป็นลูกนักแสดงหญิงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีคือ Trudie Goodwin เธอโตใน Hern Hill ตำบลหนึ่งในลอนดอน ตอนเด็กเธอมักจะโดนแกล้งก็เพราะว่าเธอมีลักษณะของ Androgynous style ( ทางกายภาพคือผู้หญิงที่มีลักษณะของความเป็นชาย มีทั้งความอ่อนไหวและแข็งแรงเช่นเดียวกัน ใน wiki อธิบายว่า Gender : The Mixing of masculine and feminine characteristics.ซึ่ง Androgynous แนวนี้จะพบได้บ่อยในสไตล์ของแฟชั่น ลุคที่ดูทอมบอย หรือผู้ชายที่ดูอ่อนหวาน เป็นต้น) ในช่วงแรกเธอสนใจเพลงโฟล์ค เช่น Carole King และ Nick Drake เพราะว่ามันเป็นแผ่นสะสมของพ่อแม่เธอเองหลังจากนั้นรสนิยมการฟังเพลงก็เริ่มเปลี่ยนในช่วงวัยรุ่นทำให้เธอได้พบกับดนตรีแนว Rave หลังจากนั้นมาเธอก็ผูกพันกับมันมาตลอดระยะเวลา 5 ปี จนกระทั่งรอวันที่ La Roux ได้ Debut อัลบั้ม



Jackson มีคาแรคเตอร์ที่เชื่อมโยงกับนักร้องเพลงป๊อปหญิงที่มีลุคแบบ androgynous ยุค 20 นิยามสั้นง่ายได้ใจความคือ "Strong Individualistic Attitude" เธอมักจะสดุดีแก่ David Bowie, Annie Lennox, Prince, นักแสดงหญิง Molly Ringwald, และ พรีเซนเตอร์รายการทีวี Elton Welsby ซึ่งมันพวกเขามีอิทธิอย่างมากต่อตัวเธอ และโดยเฉพาะแฟชั่นเสื้อผ้าที่เธอใส่เธอดีไซน์ร่วมกับเพื่อนของเธอเอง

ตอนนี้ La Roux ออกมาแล้ว 3 single คือ (ความจริงเกือบฟังครบอัลบั้มแล้วล่ะ bit ทั่วเมืองขนาดนี้)
- Quicksand Uk chart ที่ 133
- In for the Kill Uk chart ที่ 2 (ฮิตติดลมบนมาก แต่ MV มึนมาก)
- Bullet Proof นี่เพิ่งปล่อยมาอาทิตย์กว่าๆ ตอนนี้ชอบ MV นี้สุดๆ กราฟฟิคแบบ geomatric แต่งหน้าล้ำโลกชุกก็แนว ผมก็เป๊ะ ทุกอย่างลงตัว music เริ่ดที่สุด บุคลิกภายนอกส่งเสริมสไตล์เพลงจริงๆ

ส่วนปลายเดือนมิถุนายนจะมีอัลบั้มเต็มให้ได้ยินยลกันอิ่มๆ ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง



ขอขอบคุณ : http://en.wikipedia.org/wiki/La_Roux
นำมาแปลบางส่วนโดย : http://typoarty.blogspot.com

(กำลัง)ปล่อยแสง


*บูธ B27 อย่าลืมไปดูนะ จะเข้าใจคอนเสบเราไหมเนี่ย -*-

พอดีเป็นหนึ่งในรายชื่อในปล่อยแสง 3 ตอนเด็กฉลาด ชาติเจริญ
โชคดีหรืออับโชคไม่รู้ ด้วยกำลังทรัพย์ที่กำลังจางตามเลือดคนเซตงาน
ทำให้บูธออกมาได้ดังเท่าที่เห็น พยายามประหยัดที่สุด โดยที่จะพยายามไม่ปริ้น
เพราะการดีไซน์คือการแก้ปัญหา ฉนั้นเลยแก้ปัญหาโดยการเอากระดาษสีดำมาแปะ
และ Di cut ชื่อหนังสือมาซ้อนอีกที ประหยัดขั้นเทพแล้วก็ยังไม่วาย
เสียค่าเดินทางไป 5 ร้อยบาท เพราะตอนขามาต้องขนของมานั่งแท๊กซี่
ตอนกลับก็จะเป็นลมไม่ได้นอน ต้องนั่งแท็กซี่กลับ


*อ่านคอนเสบได้โดยการสะท้อนของตัวหนังสือในกระจก

ปล่อยแสง3 น่าจะมีงบประมาณในการเซตอัพงานเล็กน้อยนะ
อย่าลืมว่าครั้งนี้ พวกเรานิสิตนักศึกษาไม่ใช่ผู้ประกอบการอย่างครั้งที่ 1 หรือ 2
พวกเราเป็นเพียงนักศึกษาพึ่งจบ งบประมาณที่มีอยู่นั่นน้อยนิดนัก
แต่พวกเราก็ขอบคุณที่มีกิจกรรมสร้างสรรค์ดีๆ มีบูธให้เราวางของล่กๆ
แม้จะพยายามเท่าใด อะไรๆ ก็ต้องใช้ทรัพย์ เฮ้อ อนิจจา อนาจใจ

สิ่งที่เราได้คือการวางแผนกับการแก้ปัญหา มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
แต่โชคดีที่เราวางแผนมาก่อนหน้านี้ ว่าจะเอาอะไรไปมั่ง จะทำยังไงให้บูธไม่โล่ง
แล้วไปๆ มาๆ ก็สามารถทำให้มันโอเคได้ในระดับหนึ่ง
งานอาจจะไม่เนี๊ยบ แต่ก็สุดกำลังทรัพย์ละ



ขอขอบคุณพี่ในลานปล่อยแสง และเพื่อนๆ ทุกคนที่มาช่วยเซตงาน น่ารักมาก จุ๊บๆ
พอกลับมาก็นอนป่วยเลย กลัวเป็นไข้ 2009 จริงๆ กระแสมันแรงต้านไม่อยู่

ลานปล่อยแสง นิสิต นักศึกษา
วันที่ 17 – 28 มิถุนายน 2552
ปิดวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2552
ห้องแกลลอรี่ 2 ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ
ลานปล่อยแสง คือ กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เจ้าของผลงานสร้างสรรค์จากทุกสาขาอาชีพที่กำลังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจได้ร่วมแสดงผลงานของตนเอง พร้อมทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนความคิดและทัศนะ ตลอดจนสามารถต่อยอดและพัฒนาธุรกิจระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

31 พฤษภาคม 2552

LEGO

พอดีนั่งบิดรูบิคเล่นไปเรื่อยๆ กำลังจะเสิจหาแนวใหม่ๆ ก็ไปเจอ


*Agency : Jung von Matt, Hamburg, GermanyArt Director : Keat Aun Tan

ส่วนตัวแล้วชอบอย่างไม่มีเหตุผล ตรรกกะประมาณขายจินตนาการ
โดยที่รู้กันอยู่แล้วว่ารูบิคต้องบิดได้ ชอบ AD Lego อย่างนึงคือ
มัน simple มากๆ แต่มันดูลึกซึ้ง เห็นหลายต่อหลายอันก็ไม่ค่อยทำให้ผิดหวัง
ด้วยตัวอาร์ตไดเรคชั่น สีสัน และความง่ายๆของมันเป็นทุนก็เลยดูมาเรื่อยๆ
แต่ก็เห็นหลายครั้งงานสแกมส่วนใหญ่แนวนี้ถ้าไม่ดับก็เกิดเลย
แอดอย่างนี้จะว่าถ้าคลิกก็ง่ายเลย แต่ถ้าไม่เข้าเป้านี่ก็นิ่งสนิทวัดกันไป 50/50
แต่สำหรับเรา ทำ AD เลโก้เพลนๆให้มันมี logic เยอะๆ นี่โหดมากเลยนะ


*กรังปรีอย่างไม่ต้องสงสัย

ข้างบนนี้คงเป็นโคตรแอดให้ดวงใจของใครหลายๆคน ไม่รู้เอาเซเรบัมไหนคิด
ยกให้เป็นแอดขึ้นหิ้งเวลาที่นึกถึงไปแล้ว


*อันนี้น่าเล่น ขนาดเลโก้ยังมี for adults (จำไม่ได้ agency ไหนทำ ขออภัย)


*คิดว่า for adults เหนือแล้ว.. อันนี้คอนเสบเหนือกว่า ( กบว บ้านเราคงชอบ)
Kid shouldn't watch too much TV
อันนี้ชอบมาก มันขายตรงกลุ่มเป้าหมายมาก คือพ่อแม่มันต้องซื้อให้ลูกมันเล่น
ถ้าไม่อยากให้ลูกดูภาพแบบมี grain ก็ซื้อเลโก้มาต่อซะ


*Ogilvy ชิลี เอากรังปรี Outdoor ที่คานส์ไป

แอดเลโก้เยอะดี ดูอิ่มเลย
เลโก้นี่เป็นแรงบันดาลใจในวลีสุดเด็ดของเรา

"Imagination is Touchable."
เชื่อสิ!

27 พฤษภาคม 2552

เจ้าหนูกาแฟ


อยู่ๆก็ไปกดเปิดแฟ้มที่ไม่ได้เปิดมานาน ก็เป็นอันตกใจกับงานตัวเอง
ไม่น่าเชื่อว่าจะทำงานน่ารักคิกขุผิดวิสัยเยี่ยงนี้ได้
เจ้าหนูขี้เซาตัวนี้ ชื่อว่า 'เจ้าหนูกาแฟ' ตอนนั้นตั้งชื่อมันว่า 'โคฮีโกะ'
นั่นสิทำไมต้องโคฮีโกะก็จำไม่ได้แล้ว รู้ปค่ว่ามาจากคนทำที่ชอบกินกาแฟ
ขนาดคิกขุยังแอบเข้มนะ สงสัยตอนทำต้องหน้าเหมือนเจ้าตัวนี้แน่ๆ


*ตัวอย่างตารางสอน set B

เท่าที่จำได้ตอนเอางานไปขาย ดีไซน์ไปแบบยกเซตอลังการ มีหลายเซตมาก
มีทั้งสติ๊กเกอร์แปะ มีตารางสอน กระเป๋าใส่ตารางสอน และอีกมากมาย
แบบที่สามารถ DIY และสำเร็จรูป เจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยเรียน
*Plan กระเป๋านักเรียน set A

ว่าไปตอนไปขายก็เสียดายลืมถ่ายรูปเก็บไว้ นานๆทีจะได้ทำงานแบบนี้
ผ่อนคลาย สดใส ไม่ dark ขายง่าย และก็สนุกดีด้วย

21 พฤษภาคม 2552

คิดอย่างซ้าย EP.2

สืบเนื่องจาก thesis ใน entry ก่อน นี่คือสรุปแนวคิดของหนังสือได้ดังนี้
แนวความคิดในการสร้างสรรค์ แบ่งออกเป็น 1.แนวคิดหนังสือกับ 2.แนวทางการออกแบบ

1.แนวคิดหนังสือ
โลกเรานั้นไม่มีความสมมาตรที่แท้จริงอยู่ มิฉะนั้นจะไม่มีคนถนัดซ้าย หรือคนถนัดขวาแต่โลกเรานั้นดำรงอยู่ซึ่งสมดุลของซ้ายและขวามาโดยตลอด ในความอสมมาตรนั้นมีความสมดุลดำรงอยู่ แนวคิดนี้จึงต้องการแบ่งหนังสือออกเป็น 2 เล่ม คือเล่มซ้าย และเล่มขวา เพื่อสื่อถึงประสบการณ์ของคนถนัดซ้ายในอดีตจนถึงปัจจุบันที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่คนส่วนใหญ่ถนัดขวา โดยที่ทั้งสองเล่มเย็บเชื่อมต่อกัน และสามารถรวมกันเป็นเล่มเดียว เป็นนัยยะที่แสดงให้เห็นไม่ว่าซ้ายหรือขวาเราก็ต้องอยู่ร่วมกัน


+ด้านนอกหนังสือ หน้าปกแบบประกบรวม 2 เล่ม เข้าด้วยกัน (ชื่อหนังสือด้านหน้า)
LEFT IS MORE. (THAN YOU THINK) หมายถึง ซ้ายมีอะไรมากกว่าที่คิด

+ด้านในหนังสือ แบ่งออกเป็น 2 เล่มคือ

1 WHAT IS LEFT BEHIND? ใช้การเล่นคำของคำว่า LEFT ซึ่งมีความหมายเป็นได้ทั้งซ้าย และกริยาช่องที่ 3 ของ LEAVE ซึ่งหมายถึงถูกทิ้ง เป็นนัยว่า เราทิ้งอะไรไว้ข้างหลังหรือเปล่า เป็นเล่มที่อยู่ทางด้านขวา เปิดจากซ้ายไปขวา ลักษณะการเปิดอ่านแบบญี่ปุ่น เป็นเล่มที่เล่าเรื่องราวถึงอดีต ความเชื่อ จนกระทั่งค่อยๆสืบเนื่องไปถึงสาเหตุของความถนัด โดยใจความในเล่มพูดถึงแต่เรื่องคนถนัดซ้าย เหมือนเป็นการแนะนำตนเองเป็นส่วนใหญ่ จึงจะใช้สีดำเป็นสื่อในการออกแบบ

2 HOW TO LIVE IN THE RIGHT WORLD? คำว่า RIGHT มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบเช่นเดียวกัน คือหมายถึง ขวา และความยุติธรรมถูกต้อง โดยชื่อหนังสือในเล่มนี้จะแสดงถึงความยากลำบากของการใช้ชีวิตของคนถนัดซ้าย โดยตั้งคำถามต่อตัวเองว่าจะดำรงชีวิตอยู่บนโลกเอียงขวาได้อย่างไรเล่มนี้จะอยู่ทางซ้ายมือ เปิดจากขวาไปซ้าย เป็นลักษณะการเปิดแบบหนังสือทั่วไป ซึ่งหมายความว่าคนส่วนใหญ่ที่เปิดอ่าน คือคนที่ถนัดขวาและอ่านในลักษณะปกติ ซึ่งคนถนัดซ้ายที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนั้นจะประสบปัญหาอย่างไรบ้าง โดยจะใช้สีขาวเป็นตัวแทนของความเป็นปัจจุบัน และยังหมายถึงความถูกต้องยุติธรรม (เหมือนหยิน และ หยาง) ที่เป็นรากศัพท์มาจากคำว่า RIGHT อีกด้วย

สรุป ในทั้งเล่มซ้ายและขวาจะมีการแบ่งรวมแล้วทั้งหมด 4 บทใหญ่ โดยกล่าวในเชิงอดีตและเปรียบเทียบจนถึงปัจจุบัน โดยเรียงเนื้อหาตามความเหมาะสมและต่อเนื่องกัน ใช้สีขาวและดำเป็นตัวแทนของซ้ายในอดีตและการอยู่ร่วมกันกับขวาในปัจจุบัน

2.แนวทางการออกแบบ
+การวาง PARAGRAPH



WHAT IS LEFT BEHIND? (เล่มขวา) – จัดอักษรชิดซ้าย
เพื่อสื่อแนวคิดที่บอกเล่าความเป็นตัวตนของคนถนัดซ้ายตั้งแต่อดีตจนถึงสาเหตุของความถนัดในปัจจุบัน การจัดอักษรชิดซ้าย(ในปกติมนุษย์เราอ่านจากซ้ายไปขวา การไล่สายตาแบบนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ) ในเล่มที่เปิดแบบญี่ปุ่นนั้น เสมือนเชิงเปรียบเทียบว่าความถนัดซ้ายเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ความชั่วร้ายหรือโรคที่ต้องรักษาตามความเชื่อในอดีต ซึ่งเมื่อคนปกติเปิดเล่มจากทางซ้ายไปขวา จะไม่ถนัดในการอ่าน แต่เมื่อไล่สายตาจะสามารถอ่านได้ง่ายเพราะจัดอักษรชิดซ้ายไว้นั่นเอง



HOW TO LIVE IN THE RIGHT WORLD? (เล่มซ้าย) – จัดชิดขวา
ในขวามีซ้าย ในซ้ายมีขวา เป็นการเล่าถึงความยากลำบากของคนถนัดซ้าย จึงต้องการให้ผู้ที่อ่านล้อกับเล่มขวา โดยมากเราอ่านหนังสือและเปิดจากขวาไปซ้าย และไล่สายตาจากซ้ายไปขวา แต่เปลี่ยนเป็นการจัดวางอักษรให้ชิดขวา จะรู้สึกผิดปกติมากกว่า อ่านยากมากกว่า เปรียบเสมือว่าคนถนัดซ้ายไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ได้โดยง่ายบนโลกที่ออกแบบมาเพื่อคนถนัดขวา ความรู้สึกแปลกแยกเล็กๆนี้ยังคงมีอยู่ แต่จะหายไปถ้าทุกคนทำความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน

+การประดิษฐ์สัญลักษณ์ เพื่อแบ่งหมวดหมู่ และง่ายต่อการทำความเข้าใจขณะที่อ่านอยู่ในบทนั้นๆ อีกทั้งยังสามารถจดจำได้ง่ายมากขึ้น โดย ICON ที่จะออกแบบนั้น จะแบ่งเป็น 2 ชุด หลักคือ



1 สัญลักษณ์แต่ละบท ออกแบบโดยแบ่งทั้งหมดเป็น 4 บทใหญ่ และ 1 บทย่อยที่แทรกอยู่ รวมเป็น 5 สัญลักษณ์ โดยแนวความคิดแรกมาจาก มือ เพราะมือเป็นตัวแทนความเหมือนและความแตกต่างเช่นเดียวกับทั้งซ้ายและขวาได้ชัดเจนและดีที่สุด อีกทั้งยังเข้าใจได้โดยทั่วไป เพราะลักษณะของความถนัดซ้ายหรือขวาจะอิงเกี่ยวกับการใช้งานโดยมือเป็นส่วนใหญ่
2 สัญลักษณ์เลขหน้า ตามที่ได้กล่าวไปในแนวคิดเดิมคือ ใช้มือ แทนจำนวนการนับ โดยคิดระบบสัญลักษณ์การนับขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่เลขหน้าที่ทำเพื่อง่ายต่อความสะดวกเปิดอ่าน แต่เป็นเลขหน้าที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ เช่นเดียวกับแนวคิดที่ได้อ้างอิงว่าคนถนัดซ้ายมีอุปสรรคการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง จึงออกแบบมาเพื่อสื่อถึงความลำบากเล็กๆน้อย เช่นเดียวกัน

+การใช้ TYPOGRAPHY การใช้ TYPOGRAPHY มาช่วยในการจัดวาง Layout และการเล่นคำ ซ้อนคำต่างๆ โดยลักษณะเด่นของ คือ มีความเป็นกราฟฟิคสูง ในขณะที่สามารถอธิบายตัวตนออกมาได้เช่นเดียวกัน การเลือกใช้ Typography จึงเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญในการทำงานชิ้นนี้

+ ภาพประกอบ มี 2 แนวทาง คือ การใช้ Illustrate ภาพวาดแบบ vector - rough cut กับอีกแนวทางคือใช้ภาพถ่ายในประกอบในหนังสือ โดยใช้ภาพสื่อแทนความหมายที่แฝงนัยยะของใจความเนื้อเรื่องไว้ ถ้าเป็นลักษณะของภาพถ่ายจากการวิเคราะห์แล้วจะให้ความรู้สึกเสมือนจริงมากกว่า เห็นภาพชัดกว่า และดูสนุกกว่า ในขณะที่ภาพแบบ Vector ให้ความรู้สึกแข็ง ระเบียบ แต่ไม่เสมือนจริง ซึ่ง 2 แนวทางนี้จะไปประกอบการพิจารณาในการออกแบบร่างต่อไป



+การออกแบบรูปเล่ม
เพื่อคำนึงถึงแนวคิดที่วางไว้ จะออกแบบรูปเล่มโดยแบ่งออกเป็น 2 เล่ม ดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น และสามารถประกบรวมกันเป็นเล่มเดียว โดยศึกษาจากหนังสือของนักออกแบบเชิงทดลองที่มีวิธีการออกแบบที่น่าสนใจนำมาประยุกต์ใช้ ในแบบร่างต่อไป

นี่แค่แนวคิด ยังไม่เข้า review เนื้อหนังด้านในเลย หนายังกับสารานุกรมบวกมหากาพย์รามเกียรติ์ก็ไม่ปาน (นี่คือที่สุดในชีวิต4ปีที่เล่าเรียนมา ช่างคุ้มค่าอะไรอย่างนี้!!)

EP.3 จะเอาเรื่องถนัดซ้ายแบบเนื้อๆ ที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง (เรียกว่า expert ยังน้อยไป ฮ่าๆ)

ตดอย่างไรไม่ให้ดัง




งานที่ทำเมื่อตอนปี3 อยากลองวาดอะไรขำๆ ตลกๆบ้าง
ก็คลายเครียดดีไปอีกแบบ เสียดายพอตอน export เป็น *.avi
มันดันไม่เล่นไฟล์ที่ซ้อน Movie ไว้ซะงั้น เลยดูขาดๆ เกินงั้นล่ะ


แต่เห็นเจ้าหน้าตดทีไร ก็ขำทุกที หน้าตามันโรคจิตจริงๆ

01 พฤษภาคม 2552

สยามพิบัติ remake



อันนี้เป็นงานเก่าที่กะไว้ว่าจะส่งของสยามพิวัฒน์
งานร่วมกะนางสาวมีนโม่ ณ ชัย
แต่แล้วก็ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการก็ยกเลิกไป
ความจริงที่คิดไว้ไม่ใช่แบบนี้ ทำออกมาทีไรไม่เหมือนที่คิด
เหมือนมือกับสมองไม่ประสานกัน สั่งการผิดพลาดตลอด
นอนก็ไม่หลับ เลยเปิดไปเจอแล้วนั่งทำเล่น
อันนี้เป็นเวอชั่น remake ตามใจตัวเอง ณ ขณะจิต
อยากวาดอะไรก็วาดไม่แคร์สิ่งใดๆ ในมวลโลก
ลองใช้สีที่ไม่ชอบใช้ ก็สนุกมือดี
:D

อาจอห์น

อยู่ๆก็อยากวาดขึ้นมาก็เลยหยิบดินสอมาสเก็ต
อยากลองทำให้อาจอห์นดูเป็นฮีโร่แนวมาเวล (ไหน?)
วาดรั่วมาก เอาเท่านั้นละกัน


*วาดจากมโนสำนึก ตอนวาดนึกถึงแฮรี่พอตเตอร์มิน่าล่ะออกมา..

วาดรั่วเนี่ยไม่เพี้ยนเท่ากับลืมเซฟ..
แต่โชคดีที่ไหวตัวทัน ยังได้ export
เรื่องคือเอาไปลงสีในอิลลัส ดันค้างงงงง
ค้างจน non responding ขอบคุณมาก
เลยไม่ต้องแก้ละ ดีดัดนิสัยพวกโลเล

กะไว้ว่าจะทำเป็นครอบครัว รอด้วยนะแม่ Yoko!

18 เมษายน 2552

Left Thesis Behind EP.1



เกือบร่วม 2 เดือนที่ใช้เวลาไปกับการพักผ่อนและ left thesis behind ไว้เบื้องหลัง
เรากำลังจะย้อนรอยกลับไป..

'โครงการออกแบบหนังสือแนวคิดเชิงทดลองเรื่องความถนัดซ้ายในมนุษย์'
Experimental Book Design for The Left-Handed

การทำทีสิสครั้งนี้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากอย่างหนึ่งที่ได้เลยคือเรื่องการวางแผน
ความคิด และการตัดสินใจ ทุกๆเรื่องที่กำลังทำนั้น ต้องอาศัยการตัดสินใจเสมอ
และการตัดสินใจนี้ทำให้ทีสิสของเราเปลี่ยนจนไม่เหลือคราบเก่าอีกเลย

อย่างหนึ่งคือ เราเป็นคนฟุ้งซ่านและสามารถคิดได้ร้อยแปดพันเก้าอย่างต่อวัน
และมีข้อเสียที่ว่าชอบจมปลักอยู่กับความคิดแล้วไม่ลงมือทำให้สำเร็จสักอย่าง
ทำให้งานทุกครั้งที่ทำออกมาจะไม่เหมือนความคิดแรกที่สเก็ตแบบไว้




*ความเปลี่ยนแปลง
เรื่องการวางคอนเสบและไอเดียนั้นยังคงเป็นแบบเดิม แต่ style จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
(ลองย้อนไปดู entry เก่าๆจะมีสเก็ตไว้)
คือในตอนแรกคาดหวังไว้ว่าจะให้เป็นภาพประกอบ vector กับเล่น texture ของกระดาษ
การจัดวางตัวอักษร แต่พอมาทดลองก็รู้ว่าตัวเองค่อนข้างเบื่อกับภาพแบบเวกเตอร์
และยังไม่เคยทดลองใช้ภาพจริงมาประกอบในงาน ประกอบกับเป้าหมายที่วางไว้ตอนแรก
คือการรับรู้และสื่อถึงประสบการณ์คนถนัดซ้ายให้เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
จึงคิดว่าภาพประกอบที่เป็นภาพถ่ายจริงนั้นน่าจะให้อารมณ์และความรู้สึกได้ดีกว่า
อาจจะไม่แปลกใหม่ในแง่ของการใช้ แต่ทำให้มันจูงใจมากกว่าภาพเวกเตอร์ทั้งเล่มได้

อีกทั้งเนื้อเรื่องบางส่วนค่อนข้างหนักและต้องทำการวิเคราะห์อย่างมาก
โดยต้องหาแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงเชื่อถือได้ เพราะบางทฤษฎีก็มาหักล้างความเชื่อในภายหลัง
ทำให้การทำงานค่อนข้างคิดหลายชั้นมาก จนบางครั้งรู้สึกว่าทำเรื่องยากให้เข้าใจยากอีก
คงจะไม่ไหว น่าจะทำให้มันเข้าถึงได้ง่ายแม้จะเป็นหนังสือทดลองก็ตาม

ในความคิดครั้งแรกสุดก่อนหน้านี้ หนังสือทดลองในความหมายเราคือตัวผู้สร้างสรรค์ผลงาน
กระทำและสร้างสรรค์เพื่อเป้าหมายส่วนตน ไม่ได้หมายความให้คนทั่วไปเข้าใจกระจ่างชัด
อาจจะเข้าใจได้บ้างแต่ไม่ทั้งหมดนัก พอมาทำกลับเองจึงรู้สึกได้ว่ามันไม่สุด
ความจริงอยากจะทำให้มันทดลองมากกว่านี้ แต่พอมองย้อนไปที่จุดประสงค์
กรอบที่ตีไว้คือเพื่อความเข้าใจร่วมกัน ทำให้คิดใหม่ว่าเราควรที่จะทำการทดลอง
ที่ต้องมาพร้อมกับการสื่อสาร น่าจะทำให้มัน simple ที่ได้ด้วยทั้งเนื้อหา
และในขณะเดียวกันก็ไม่น่าเบื่อเช่นกัน
ผลสรุปคือ เราใช้การจัดวางตัวอักษรจัดชิดซ้ายในเล่มขวา และการจัดชิดขวาในเล่มซ้าย
โดยมีนัยยะที่สื่อถึง ในซ้ายมีขวา ในขวามีซ้าย ไม่ว่าจะแบ่งอย่างไรเราก็ต้องอยู่ร่วมกัน
นอกจากนี้ก็ใช้ Typography มาช่วยในการจัดองค์ประกอบของภาพ layout และอื่นๆ
เพื่อสื่อถึงคอนเสบการวางในแต่ละหน้าด้วย

*การพิมพ์และ mock up
ในเรื่องของการทำหนังสือกระบวนการพิมพ์คือสิ่งที่ทำให้ชิ้นงานสมบูรณ์มากที่สุด
จะเห็นชิ้นงานเป็นตัวเป็นตนได้ต่อเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการนี้
และการพิม์ทำให้หนักใจอย่างมาก เพราะอยากได้กระดาษที่ได้ดังใจต้องหาเอง
เราไปเหมากระดาษปอนด์ A2 มากว่า 30 แผ่นเพื่อใช้ในงานนี้โดยเฉพาะ
และยังต้องไปหากระดาษพิเศษเพื่อพิมพ์พิเศษบางหน้าที่เล่นไอเดียสะท้อนกลับ
ถ้าอยากจะเล่นกับกระดาษและ texture เพื่อเพิ่มประสบการณ์ก็ต้องมีทุนมากกว่านี้
และถ้าไม่ได้ส่งโรงพิมพ์ที่ปริ้นและทำปกให้สำเร็จรูป ต้อง mock เอง
เวลาปริ้นควรปริ้นทีเดียว คือต้องเสร็จสมบูรณ์แล้วพิมพ์ ไม่งั้นพิมพ์แต่ละครั้ง
พิมพ์คนละที่คนละที ก็ทำให้สีเพี้ยนและไม่เหมือนกัน ยิ่งพิมพ์เยอะขนาดร้อยหน้าขึ้น
จะมีปัญหาแน่นอน ก่อนหน้าก็ต้องปริ้นเทสกับกระดาษที่คิดว่าจะใช้
และหาโรงพิมพ์ที่คุยง่ายเข้าใจกระบวนการทำงาน หนังสือเล่มนี้ mock มือทั้งเล่ม
ไม่ว่าจะปก ส่วนใน เพราะไม่มีที่ไหนรับเย็บแบบนี้จึงต้องทำงานคราฟล้วนๆ
และจากประสบการณ์การทำ book ที่ผิดพลาดมามากมาย ทำให้เล่มนี้ไม่มีพิมพ์เสีย
แปะไม่ผิด ทุกอย่างพอดีเป๊ะ ในขณะ mock ก็ต้องครองสติตลอดเวลา เพราะถ้าพลาด
จะไม่เสียแค่เวลาเท่านั้น แต่จะเสียทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วย เล่มนี้ mock เกือบอาทิตย์
ต้องวางแผนขั้นตอนการทำงานดีๆ การทำงานมือนั้น ระวัง!! อะไรก็เกิดขึ้นได้



*ไม่สุด
คือครั้งแรกที่เสนอไปจะต้องมีแบบทดสอบว่าถนัดซ้ายหรือขวา
และเล่มที่เป็นการรวบรวมแหล่งของคนถนัดซ้าย เช่นพวก ร้านขายของ
community ต่างๆ และคู่มือระวังภัยในการใช้ชีวิตประจำวัน
เพราะคนถนัดซ้ายต้องเจอกับอันตรายเกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้
ที่ออกแบบมาเพื่อคนถนัดขวาอยู่ทุกๆวัน จะเป็นทิปการเหลีกเลี่ยงเล็กๆ
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเพราะทำไม่ทัน ทั้งที่ส่วนนี้คือส่วนที่อยากทำมากที่สุด
แต่กลับไปทุ่มตรงเนื้อหาที่หนาเกือบ 150 หน้าแทน ไอเดียนี้ยังดองไว้
ไว้มีอารมณ์และโอกาสเมื่อไรจะทำแน่นอน (เพราะขี้เกียจเป็นทุน)

EP.2 เดี๋ยวมารีวิวคอนเสบกับหนังสือมือซ้ายที่สำเร็จแล้วให้ดู
จะมาสร้างหนังย้อนแบบ Star War กัน

22 มกราคม 2552

ชิ้นอัน

ตามหัวข้อเลยคือ สัปดาห์หฤหรรษ์จรรโลงใจนี้
มีเพียงงานครูหนึ่งนี้หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ดูเป็นชิ้นอันที่สุด
ทำเมื่อคืน เสร็จตอนเช้า เหตุเพราะไม่ชินมือ
ไม่ได้นั่งสเก็ตตัวอะไรอย่างนี้มานานมากแล้ว
รู้สึกปลดปล่อยอารมณ์ ตามใจฉัน ไม่ตามใจเธอ
สนุกจริงๆ สัปดาห์แแห่งการลืมเลือนทีสิส

อันนี้ขั้นสเก็ตแต่เก็บเส้นแล้ว ช่าง....


ผิดสัดส่วนเสียนี่กระไร
-*-

วาดยังไงก็ดูไม่โปร ดูเป็นการ์ตูนวันยังค่ำ
(สมัยวัยละอ่อน วาดแต่สไปเดอร์แมนกล้ามๆ)

แต่สนุกดีเหมือนกัน ไม่ได้ทำอะไรอย่างนี้มานาน
ลืมทีสิสไปแป๊บนึง...

แล้วก็มาตอนลงสี



เป็นตัวละครที่นั่งเทียนจินตนาการจากนิยายแนวฆาตรกรรมที่เคยอ่าน
นานมากแล้วเหมือนกัน แต่พอจำได้เลาๆ ประมาณนี้
ประมาณว่าฆาตรกรเป็นอัจฉริยะ มันส์สุดๆ เดาไม่ออกเลยทีเดียว



อันนี้แบบ มีเนื้อเรื่องด้วยนิดหน่อย
นิตยสาร esquire หรือเปล่านี่ !!

สรุปคือ สัปดาห์นี้ ทีสิสไม่กระเตื้อง ขาดแรงบันดาลใจ
แต่ได้สนุกกับการอัพเลเวลแต่งบ้านใน pet society
เล่นเอาโล่ห์หรือไงเนี่ย (ได้จะครบแล้วโล่ห์น่ะ)

ความไร้สาระยังไม่หมดเพียงเท่านี้...

Rank ทะยานสู่อันดับที่ 4 ใน Colourlover.com
ความจริงแล้วตกลงมาจากอันดับที่ 2



แต่คนชอบเยอะจริงๆ ดีใจ

สุดท้าย
สัญญาว่าอาทิตย์หน้าจะจริงจังกับทีสิสแล้ว
จริงๆ สาธุ!