17 พฤศจิกายน 2551

เช้าวัน MONDAY

เสร็จตอนเช้าวันจันทร์พอดี ตามสไตล์งานเผา

Campaign Title : เสียเซลฟ์
Procuct : Monkey Pants
Art Director & Copy writer : นางสาวอัสนี







พอดีเกิดอารมณ์เพี้ยน อยากฝึกสมองประลองปัญญา
ห่างหายจากการคิด Ad มานานประมาณ 3 ขุม เลยลองดูเบาๆ

ไอเดียก็เลย "เบาๆ" ตาม เช่นนี้แล..

ความจริงสเก็ตไอเดียไว้ประมาณ 108 แตกได้ 3-4 หน้ากระดาษ A4
มี visual ไว้ในหัว แต่ด้วยความขี้เกียจประกอบกับไม่ทัน
เพราะมัวแต่เอาเวลาไปดู youtube และเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ
จึงเป็นผลให้หารูปไม่ทัน จึงต้องเอา first idea ที่ง่อยที่สุดไป

บรีฟเป็นกางเกงในกระดาษ เหมาะสำหรับความรีบเร่งในยุคปัจจุบัน
ใช้ง่าย ใส่แล้วทิ้งในครั้งเดียว สะดวก เบาสบายเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทาง

ซึ่งความง่อยของ ad นี้มีหลายอย่งมาก (รู้ตัวเองดี)
1. ไม่ได้ขาย Product เลย ไม่มีทั้งกระดาษ ทั้งความรีบ
2.Idea ไม่สด และไม่แปลกอะไร first idea ชัดๆ
3.Art direction และ Copy ค่อนข้างง่อย
4.มุ่งไปที่ meassage บอกเล่าความใหม่กับความมั่นใจอย่างเดียว
5.มั่นใจว่าซ้ำกับคนอื่นแน่นอน

ส่วนไอเดียอื่นที่ชอบก็มี (แต่ก็ไม่ได้ดีที่สุดสักอัน)
- โจรมารอขโมยกางเกงในจนเงกแล้ว แต่ก็ไม่มีกางเกงในให้ขโมย
- เครื่องซักผ้า ผงซักฟอก ราวตากกางเกงใน เงียบหงอยมาก
- อาณาเขตที่ต้องป้องกันไว้ สงวนไว้ให้มนุษยชาติ
- สถานการณ์ฉุกเฉิน วินาทีแห่งชีวิตระทึกใจ
เก้า ล เก้า...

แต่สุดท้ายก็หาภาพไม่ทัน แต่ละอันแตกไม่ครบ 3 ชิ้นต่อแคมเปญ
ขนาดง่อยอย่างนี้ยังเสร็จเช้า

ทำเอา มันส์(เดย์) จริงๆ!!

09 พฤศจิกายน 2551

Think before having SEX



พอดีอยู่ๆก็นึกถึงเพลงของ John Mayer เลยมาอัพสักหน่อย..

เมื่อ 4 อาทิตย์ก่อนเห็นจะได้ โปรเจคสุดท้ายของเทอมคือวิชา Creative Thinking
ของครูวิทยา วิชานี้ตอนแรกก็เครียดอยู่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร
ในแง่ของกระบวนการคิดค่อนข้างนานกว่าโพรเสสที่ทำจริง
การที่เราคิดอะไรอย่างเป็นขั้นตอนทำให้เห็นเลยว่า
ช่วงสุดท้ายเวลาเราจะจัดการอะไรๆ มันจะทำได้ง่ายกว่าที่คิดไว้มาก
มันฝึกให้รูุ้้จักโพรเสสในการทำงานและคิดอย่างเป็นระบบ การต่อยอด

มาเข้าในส่วนของตัวโปรเจคนี้กัน...
ครูวิทยาให้เรากำหนดหัวข้อขึ้นมา โดยมีปัจจัยและองค์ประกอบคือ
เสียง ภาพ และการเคลื่อนไหว โดยไม่ใช่ในแง่ของอนิเมชั่น
แต่เ็ป็นในเชิงของการอธิบายในรูปแบบของกราฟฟิคดีไซน์
คราวนี้จึงไปคิดหัวข้อกับคู่มา เพราะคิดว่าทำคนเดียวคงไม่ไหวแน่โปรเจคนี้
ด้วยเหตุไฉนก็มิทราบได้ อัสนีกับมณฑิชา จึงเสนอหัวข้อว่า 'SEX'

เชิงกระบวนการคิดได้ผ่านการตกตะกอนจากครูวิทยาและอัสนีมณฑิชาดังนี้
ในตอนแรกเป็นเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์แบบเจอกันแล้วจากไป
เ็ป็นเสมือการจับคู่ one night stand แบบพวกวัยรุ่นทั่วไป
แต่ครูผลักให้ไปไกลกว่าในแง่ของความเป็นอาร์ต ให้ดูเป็น nude สวยๆ
แล้วไม่ต้องพูดเรื่องการจับคู่ แต่ยิงเข้าประเด็นการมีเพศสัมพันธ์
เหมือนกับว่าโดนตัดเข้าshotเลย โดยถ้าคิดจะมีนั้น ควรจะมีอย่างฉลาด
ให้เป็นกราฟฟิคจัดด้วยลายเส้นความกลมกลืนเข้ากันทั้งชายและหญิง

พวกเราก็ไปเขียนสตอรี่บอร์ดมาหลายครั้ง
ในแต่ละครั้งก็ค่อยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนได้อันที่คิดว่าน่าจะเข้าท่าที่สุดมา

จากนั้นเราก็เข้าโพรเสสในการทำคือ จะเริ่มจาการหา ref

nude งามๆ ไม่ใช่เข้าขั้น porn แค่ erotic เท่านั้น!
พอเสร็จเราก็แบ่งแภนกวาดและลงภาพเคลื่อนไหว ช่วยกันออกความเห็น
บาง scene ก็ต้องมีแบบแล้วถ่ายเอาเพื่อให้ได้ภาพที่เราต้องการมากที่สุด
จากนั้นก็ปรับสี ตอนแรกเป็นเส้นดำบน bg ขาว แต่มันไม่ได้ความรู้สึก
พวกเราจึงลงมติให้มันมืดๆ หวือหวาเล็กๆ เลย inverse สีเป็นเส้นขาว bg ดำ
ก็ออกมาพอใจได้อารมณ์กว่า เหมือนมี sex ในที่มืดเร้าใจกว่าที่สว่าง (ฮ่าๆ)
ฝ่ายวาดก็วาดไปร่วมร้อยกว่าภาพเห็นจะได้ เล่นเอาเหนื่อยพอดู
ส่วนเราก็เป็นฝ่ายตัดต่อและปรับสีภาพ ปรับเส้นอะไรเล็กน้อย
ช่วยกันทำก็สนุกดี มันสนุกตอนที่เห็นมันขยับ มือลูบไล้ไปมา้
จนกระทั่งเรียบเรียงออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว 1 เรื่อง



คราวนี้มาเข้าในส่วนของเสียง มีเสียงเป็นร้อยแต่ไม่มีอันไหนเข้ากันเลย
บังเอิญ..บังเอิญขั้นเทพ วันนั้นเพื่อนส่งเพลงของ John Mayer มาให้ฟัง
เนื้อหาความหมายเหมาะเหม็งอีโรติคเซ็กซี่ จึงเอาไปใส่อย่างไม่ต้องรีรอ..

จากนั้นเรา็ก็็มาจับประเด็นเชื่อมโยงกับการ มีเพศสัมพันธ์อย่างฉลาด
โดยอภิสิทธิ์ขออนุญาตยืม DUREX มาประกอบในงานของเรา
คิด Copy ไปมากัน 2 คน คิดไม่ตก จึงไปถามเพื่อนมายในแบบภาษาอังกฤษ
ก็ได้มาอย่างตรงโจทย์สุดๆ ผลสุดท้ายก็เอาคำของเพื่อนมายเนี่ยล่ะ ดีสุด!

จึงออกมาเป็น 'Think before having SEX' โฆษณา DUREX แบบอาร์ตๆไป

07 พฤศจิกายน 2551

ซ้ายดี ขวาดี ทีสิส


*บทความนี้ไม่เกี่ยวกับ Obama และ McCain แต่อย่างใด
ไม่ต้องห่วงเรื่องประเด็นทางการเมือง ฮ่าๆ

ในวันจันทร์นี้เป็นวันพรีเซ้นหัวข้อ Thesis วันแรก
แค่คิดไส้ก็จะแตกแล้วรู้สึกร่างกายขาดการควบคุม สติจะหลุด

หัวข้อที่เราจะเสนอและคิดในใจมานานแสนนาน พยายามที่จะหาคำตอบ
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำถามและความสงสัยในตัวเอง
การตั้งคำถามที่ว่า "ทำไมคนเราต้องเลือกถนัดซ้ายหรือขวา"
แล้วทำไมคนเราต้องถนัดแค่ข้างใดข้างหนึ่ง
หรือชำนาญการใช้งานเพียงมือใดมือหนึ่ง
ทำไม อัตราส่วนคนถนัดซ้ายหรือขวา มีไม่เท่ากัน หรือเพราะเหตุใด
โลกและคนส่วนใหญ่ถึงถูกกำหนดทิศทางให้คนถนัดขวามีมากกว่า..
คนถนัดซ้าย..จึงต้องอยู่อยู่บนโลกเอียงขวางั้นหรือ หรืออาจจะเป็นเพราะว่า
ธรรมชาติสร้างความสมดุลในแบบที่ไม่สมมาตร (Asymmetry)เอาไว้
หรือแท้จริงแล้ว บนความไม่สมมาตรนั่นแหละที่ทำให้เกิดสมดุล

เราเลยอยากลองแก้ปัญหา อยากรีเสิจ อยากรู้ อยากหาข้อมูล
โดยส่วนใหญ่ในแง่ของกรณีศึกษา ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าทำไมต้องซ้ายหรือขวา
แต่เท่าที่อ่านข้อมูลและรวบรวมจากหลายๆที่มา มันถูกกำหนดโดยยีนส์
เหมือนกับการคัดเลือกทางธรรมชาติ เช่นการจับคู่ยีนส์ XX และ XY
ยีนส์ของความถนัดก็เช่นกันเป็นการส่งต่อทางพันธุกรรม (เดี๋ยวไว้จะมาอธิบายอีกที)
และในเรื่องของอัตราตัวเลขและหลักการทางฟิสิกส์-วิทยาศาตร์-ชีววิทยาก็ว่ากันไป
ความถนัดซ้ายหรือขวามันสามารถกำหนดทิศทางของวัฒนธรรม-พฤติกรรมได้ด้วย
ข้อมูลพวกนี้น่าสนใจมาก ยิ่งทำให้อยากลองรวบรวมและแบ่ง Part แยกประเภทแต่ละวิจัยไว้

แล้วถ้าลองมาคิดในมุมมองแง่ของกราฟฟิคดีไซน์ ซ้าย ขวา มีผลกับความถนัดไหม
การออกแบบพวกอัตลักษณ์ต่างๆล่ะ ทำไมต้องซ้ายหรือทำไมต้องขวา
มีรูปแบบในแง่ของการมองเห็น และปัจจัยสำคัญอื่นๆหรือป่าว
อย่างในชีวิตประจำวันเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆก็ออกแบบมาเพื่อคนถนัดขวา
ในแง่ของ 2มิติ อย่างกราฟฟิค ซ้ายขวา หรือความถนัดสำคัญอย่างไร
ดีไซน์เพื่อคนถนัดซ้าย กับดีไซน์เพื่อคนถนัดขวาอย่างไหนยากกว่ากัน
หรือทำไมไม่ออกแบบเพื่อใช้ได้ทั้งซ้ายและขวา
ข้อสังเกตุพวกนี้ เป็นคำถามสนุกๆ ที่อยากจะลองหาคำตอบดู ..

ในฐานะที่เราถนัดซ้าย เราสามารถใช้ชีวิตบนโลกน่าเบื่อ(ที่เชื่อว่าไม่สมมาตร)อย่างสนุกสนาน
อีกแง่หนึ่งชนกลุ่มซ้ายก็เริ่มมีมากในสังคม มันน่าสนุกดีที่ทำอะไรกลับข้างคนอื่นเขา
case study ในคนถนัดซ้ายนั้นมีหลากหลายประเภทมาก ทำให้ได้รู้ว่าไม่ใช่แค่เราๆเท่านั้น
แต่ชนชาติ วัฒนธรรมก็มีส่วนในการตัดสินให้คนซ้ายได้ ขวาได้ เช่นเดียวกับการปลูกฝัง
เอาจริงถ้าคนเราสามารถถนัดได้ทั้งสองข้างคงจะดี การแบ่งแยกคงไม่เกิดขึ้น
หรือย้ำคำเดิม "ความไม่สมมาตรนั่นล่ะคือความสมดุล?"

ยิ่งคิดก็ยิ่งไกล การจะไขกลไกธรรมชาติยากกว่าตั้งสมมติฐานเปล่าๆเป็นล้านเท่า
เพราะอย่างไร กลไกธรรมชาติก็ยากที่จะเข้าใจในฐานะนักเรียนดีไซน์ง่าวๆอย่างนี้

กลับมาที่หัวข้อ Thesis .. เราสรุปแบบเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้งว่าจะทำ book design
เป็นหนังสือแนวคิดเชิงทดลอง ว่าง่ายๆก็ book conceptual และที่สำคัญคือ
ประเด็นนี้มันไม่ได้เกี่ยวโยงในระดับส่วนตน แต่มันเกี่ยวโยงในระดับส่วนรวมด้วย
บางคนอาจจะคิดว่าเรื่องซ้ายหรือขวาก็ไม่ได้สำคัญอะไร แต่สำหรับเราคิดไปถึงอนาคตเลยนะ

จุดประสงค์คือ เราอยากให้หนังสือเรามันสร้างความเข้าใจในการใช้ชีวิตร่วมกัน
แม้จะมุมเล็กๆ ไม่อยากให้มีการแบ่งซ้าย-ขวา ขาว-ดำ
(เราจะผสมแนวคิดและมุมมองของการใช้ชีวิตเข้าไปด้วย)

ส่วนเราใช้การดีไซน์แก้ปัญหาอย่างไร แน่นอนคือ ...
1.ข้อมูลต่างๆ กระจัดกระจาย และส่วนใหญ่ไร้ข้อสรุป ต้องวิเคราะห์และสังเคราะห์อีกที
2.ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่เคยมีการรวบรวมหรือจัดทำในรูปเล่มแบบหนังสืออาร์ต (เรียกง่ายๆนะ)
เพราะส่วนใหญ่มาเป็นก้อนๆ แบบโคตรจะวิชาการเลย น่าเบื่อและยากจะเข้าใจ
3.ถ้าทำได้อยากให้หนังสือสนุก เมื่อสนุกก็จะเข้าใจง่าย เมื่อง่ายก็จะเกิดการรับรู้ตามมา

และถ้าถามว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากการออกแบบหัวข้อนี้
เราคิดว่าส่วนหนึ่งที่ได้คือ ตรรกะในเชิงดีไซน์ พูดตามตรงเรียนมา 4 ปี
เราจำแนกแยกแยะข้อมูลต่ำ วิเคราะห์ก็น้อย ดีไซน์ไร้ความคิดมีเยอะเกินคณาจะนับไหว
ความอยากลองครั้งนี้ มันเลยนำพาให้ทำอะไรแบบลองใช้สมองนั่งสมาธิคิดบ้าง

ตอนนี้ก็ลองพยายามอย่างมากในการคิดต่อยอดอยู่ว่า

จะเอาที่เราดีไซน์ ออกมาเดินเล่นอย่างไร????
เดินเล่นในที่นี้คือ เดินไปสาธารณะ เราเบื่อฟอร์มและรูปเล่มที่ถูกจำกัดทางการดีไซน์
(แม้ว่าในความเป็นจริง มันก็สามารถทดลองทำอะไรได้เยอะนะ)
แต่อยากทำอะไรข้างนอกบ้าง เอาสิ่งที่เราดีไซน์ไปพบปะพูดคุยกับคนแปลกหน้าบ้าง
รอดู feedback ตอบรับบ้าง คงจะเป็นประสบการณ์ และสนุกไม่น้อย

สุดท้าย...
ตอนนี้เรากำลังรวบรวมความคิด และแบ่งบทต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยุ่
พอเสร็จจะลองคิดชื่อหัวข้อโครงการ (เนี่ยล่ะคิดโคตรยากเลย)
ยังไงก็...ขอให้คิดเสร็จในเร็ววัน เผื่อจะได้เอาดีไซน์ออกไปเดินเล่น
จะได้เอาตัวออกไปสังเคราะห์แสงหาแรงบันดาลใจกัน


*อ้อ!ลืมบอก..Obama กับ McCain เกี่ยวที่ว่า ทั้งสองถนัดซ้าย..