skip to main |
skip to sidebar
พอดีอยู่ๆก็นึกถึงเพลงของ John Mayer เลยมาอัพสักหน่อย..
เมื่อ 4 อาทิตย์ก่อนเห็นจะได้ โปรเจคสุดท้ายของเทอมคือวิชา Creative Thinking
ของครูวิทยา วิชานี้ตอนแรกก็เครียดอยู่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร
ในแง่ของกระบวนการคิดค่อนข้างนานกว่าโพรเสสที่ทำจริง
การที่เราคิดอะไรอย่างเป็นขั้นตอนทำให้เห็นเลยว่า
ช่วงสุดท้ายเวลาเราจะจัดการอะไรๆ มันจะทำได้ง่ายกว่าที่คิดไว้มาก
มันฝึกให้รูุ้้จักโพรเสสในการทำงานและคิดอย่างเป็นระบบ การต่อยอด
มาเข้าในส่วนของตัวโปรเจคนี้กัน...
ครูวิทยาให้เรากำหนดหัวข้อขึ้นมา โดยมีปัจจัยและองค์ประกอบคือ
เสียง ภาพ และการเคลื่อนไหว โดยไม่ใช่ในแง่ของอนิเมชั่น
แต่เ็ป็นในเชิงของการอธิบายในรูปแบบของกราฟฟิคดีไซน์
คราวนี้จึงไปคิดหัวข้อกับคู่มา เพราะคิดว่าทำคนเดียวคงไม่ไหวแน่โปรเจคนี้
ด้วยเหตุไฉนก็มิทราบได้ อัสนีกับมณฑิชา จึงเสนอหัวข้อว่า 'SEX'
เชิงกระบวนการคิดได้ผ่านการตกตะกอนจากครูวิทยาและอัสนีมณฑิชาดังนี้
ในตอนแรกเป็นเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์แบบเจอกันแล้วจากไป
เ็ป็นเสมือการจับคู่ one night stand แบบพวกวัยรุ่นทั่วไป
แต่ครูผลักให้ไปไกลกว่าในแง่ของความเป็นอาร์ต ให้ดูเป็น nude สวยๆ
แล้วไม่ต้องพูดเรื่องการจับคู่ แต่ยิงเข้าประเด็นการมีเพศสัมพันธ์
เหมือนกับว่าโดนตัดเข้าshotเลย โดยถ้าคิดจะมีนั้น ควรจะมีอย่างฉลาด
ให้เป็นกราฟฟิคจัดด้วยลายเส้นความกลมกลืนเข้ากันทั้งชายและหญิง
พวกเราก็ไปเขียนสตอรี่บอร์ดมาหลายครั้ง
ในแต่ละครั้งก็ค่อยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนได้อันที่คิดว่าน่าจะเข้าท่าที่สุดมา
จากนั้นเราก็เข้าโพรเสสในการทำคือ จะเริ่มจาการหา ref
nude งามๆ ไม่ใช่เข้าขั้น porn แค่ erotic เท่านั้น!
พอเสร็จเราก็แบ่งแภนกวาดและลงภาพเคลื่อนไหว ช่วยกันออกความเห็น
บาง scene ก็ต้องมีแบบแล้วถ่ายเอาเพื่อให้ได้ภาพที่เราต้องการมากที่สุด
จากนั้นก็ปรับสี ตอนแรกเป็นเส้นดำบน bg ขาว แต่มันไม่ได้ความรู้สึก
พวกเราจึงลงมติให้มันมืดๆ หวือหวาเล็กๆ เลย inverse สีเป็นเส้นขาว bg ดำ
ก็ออกมาพอใจได้อารมณ์กว่า เหมือนมี sex ในที่มืดเร้าใจกว่าที่สว่าง (ฮ่าๆ)
ฝ่ายวาดก็วาดไปร่วมร้อยกว่าภาพเห็นจะได้ เล่นเอาเหนื่อยพอดู
ส่วนเราก็เป็นฝ่ายตัดต่อและปรับสีภาพ ปรับเส้นอะไรเล็กน้อย
ช่วยกันทำก็สนุกดี มันสนุกตอนที่เห็นมันขยับ มือลูบไล้ไปมา้
จนกระทั่งเรียบเรียงออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว 1 เรื่อง

คราวนี้มาเข้าในส่วนของเสียง มีเสียงเป็นร้อยแต่ไม่มีอันไหนเข้ากันเลย
บังเอิญ..บังเอิญขั้นเทพ วันนั้นเพื่อนส่งเพลงของ John Mayer มาให้ฟัง
เนื้อหาความหมายเหมาะเหม็งอีโรติคเซ็กซี่ จึงเอาไปใส่อย่างไม่ต้องรีรอ..
จากนั้นเรา็ก็็มาจับประเด็นเชื่อมโยงกับการ มีเพศสัมพันธ์อย่างฉลาด
โดยอภิสิทธิ์ขออนุญาตยืม DUREX มาประกอบในงานของเรา
คิด Copy ไปมากัน 2 คน คิดไม่ตก จึงไปถามเพื่อนมายในแบบภาษาอังกฤษ
ก็ได้มาอย่างตรงโจทย์สุดๆ ผลสุดท้ายก็เอาคำของเพื่อนมายเนี่ยล่ะ ดีสุด!
จึงออกมาเป็น 'Think before having SEX' โฆษณา DUREX แบบอาร์ตๆไป
*บทความนี้ไม่เกี่ยวกับ Obama และ McCain แต่อย่างใด ไม่ต้องห่วงเรื่องประเด็นทางการเมือง ฮ่าๆ
ในวันจันทร์นี้เป็นวันพรีเซ้นหัวข้อ Thesis วันแรก
แค่คิดไส้ก็จะแตกแล้วรู้สึกร่างกายขาดการควบคุม สติจะหลุด
หัวข้อที่เราจะเสนอและคิดในใจมานานแสนนาน พยายามที่จะหาคำตอบ
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำถามและความสงสัยในตัวเอง
การตั้งคำถามที่ว่า "ทำไมคนเราต้องเลือกถนัดซ้ายหรือขวา"
แล้วทำไมคนเราต้องถนัดแค่ข้างใดข้างหนึ่ง หรือชำนาญการใช้งานเพียงมือใดมือหนึ่ง ทำไม อัตราส่วนคนถนัดซ้ายหรือขวา มีไม่เท่ากัน หรือเพราะเหตุใด
โลกและคนส่วนใหญ่ถึงถูกกำหนดทิศทางให้คนถนัดขวามีมากกว่า..
คนถนัดซ้าย..จึงต้องอยู่อยู่บนโลกเอียงขวางั้นหรือ หรืออาจจะเป็นเพราะว่า
ธรรมชาติสร้างความสมดุลในแบบที่ไม่สมมาตร (Asymmetry)เอาไว้
หรือแท้จริงแล้ว บนความไม่สมมาตรนั่นแหละที่ทำให้เกิดสมดุล
เราเลยอยากลองแก้ปัญหา อยากรีเสิจ อยากรู้ อยากหาข้อมูล
โดยส่วนใหญ่ในแง่ของกรณีศึกษา ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าทำไมต้องซ้ายหรือขวา
แต่เท่าที่อ่านข้อมูลและรวบรวมจากหลายๆที่มา มันถูกกำหนดโดยยีนส์
เหมือนกับการคัดเลือกทางธรรมชาติ เช่นการจับคู่ยีนส์ XX และ XY
ยีนส์ของความถนัดก็เช่นกันเป็นการส่งต่อทางพันธุกรรม (เดี๋ยวไว้จะมาอธิบายอีกที)
และในเรื่องของอัตราตัวเลขและหลักการทางฟิสิกส์-วิทยาศาตร์-ชีววิทยาก็ว่ากันไป
ความถนัดซ้ายหรือขวามันสามารถกำหนดทิศทางของวัฒนธรรม-พฤติกรรมได้ด้วย
ข้อมูลพวกนี้น่าสนใจมาก ยิ่งทำให้อยากลองรวบรวมและแบ่ง Part แยกประเภทแต่ละวิจัยไว้
แล้วถ้าลองมาคิดในมุมมองแง่ของกราฟฟิคดีไซน์ ซ้าย ขวา มีผลกับความถนัดไหม
การออกแบบพวกอัตลักษณ์ต่างๆล่ะ ทำไมต้องซ้ายหรือทำไมต้องขวา
มีรูปแบบในแง่ของการมองเห็น และปัจจัยสำคัญอื่นๆหรือป่าว
อย่างในชีวิตประจำวันเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆก็ออกแบบมาเพื่อคนถนัดขวา
ในแง่ของ 2มิติ อย่างกราฟฟิค ซ้ายขวา หรือความถนัดสำคัญอย่างไร
ดีไซน์เพื่อคนถนัดซ้าย กับดีไซน์เพื่อคนถนัดขวาอย่างไหนยากกว่ากัน
หรือทำไมไม่ออกแบบเพื่อใช้ได้ทั้งซ้ายและขวา
ข้อสังเกตุพวกนี้ เป็นคำถามสนุกๆ ที่อยากจะลองหาคำตอบดู ..
ในฐานะที่เราถนัดซ้าย เราสามารถใช้ชีวิตบนโลกน่าเบื่อ(ที่เชื่อว่าไม่สมมาตร)อย่างสนุกสนาน
อีกแง่หนึ่งชนกลุ่มซ้ายก็เริ่มมีมากในสังคม มันน่าสนุกดีที่ทำอะไรกลับข้างคนอื่นเขา
case study ในคนถนัดซ้ายนั้นมีหลากหลายประเภทมาก ทำให้ได้รู้ว่าไม่ใช่แค่เราๆเท่านั้น
แต่ชนชาติ วัฒนธรรมก็มีส่วนในการตัดสินให้คนซ้ายได้ ขวาได้ เช่นเดียวกับการปลูกฝัง
เอาจริงถ้าคนเราสามารถถนัดได้ทั้งสองข้างคงจะดี การแบ่งแยกคงไม่เกิดขึ้น
หรือย้ำคำเดิม "ความไม่สมมาตรนั่นล่ะคือความสมดุล?"
ยิ่งคิดก็ยิ่งไกล การจะไขกลไกธรรมชาติยากกว่าตั้งสมมติฐานเปล่าๆเป็นล้านเท่า
เพราะอย่างไร กลไกธรรมชาติก็ยากที่จะเข้าใจในฐานะนักเรียนดีไซน์ง่าวๆอย่างนี้
กลับมาที่หัวข้อ Thesis .. เราสรุปแบบเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้งว่าจะทำ book design
เป็นหนังสือแนวคิดเชิงทดลอง ว่าง่ายๆก็ book conceptual และที่สำคัญคือ
ประเด็นนี้มันไม่ได้เกี่ยวโยงในระดับส่วนตน แต่มันเกี่ยวโยงในระดับส่วนรวมด้วย
บางคนอาจจะคิดว่าเรื่องซ้ายหรือขวาก็ไม่ได้สำคัญอะไร แต่สำหรับเราคิดไปถึงอนาคตเลยนะ
จุดประสงค์คือ เราอยากให้หนังสือเรามันสร้างความเข้าใจในการใช้ชีวิตร่วมกันแม้จะมุมเล็กๆ ไม่อยากให้มีการแบ่งซ้าย-ขวา ขาว-ดำ(เราจะผสมแนวคิดและมุมมองของการใช้ชีวิตเข้าไปด้วย)
ส่วนเราใช้การดีไซน์แก้ปัญหาอย่างไร แน่นอนคือ ...
1.ข้อมูลต่างๆ กระจัดกระจาย และส่วนใหญ่ไร้ข้อสรุป ต้องวิเคราะห์และสังเคราะห์อีกที
2.ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่เคยมีการรวบรวมหรือจัดทำในรูปเล่มแบบหนังสืออาร์ต (เรียกง่ายๆนะ)
เพราะส่วนใหญ่มาเป็นก้อนๆ แบบโคตรจะวิชาการเลย น่าเบื่อและยากจะเข้าใจ
3.ถ้าทำได้อยากให้หนังสือสนุก เมื่อสนุกก็จะเข้าใจง่าย เมื่อง่ายก็จะเกิดการรับรู้ตามมา
และถ้าถามว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากการออกแบบหัวข้อนี้
เราคิดว่าส่วนหนึ่งที่ได้คือ ตรรกะในเชิงดีไซน์ พูดตามตรงเรียนมา 4 ปี
เราจำแนกแยกแยะข้อมูลต่ำ วิเคราะห์ก็น้อย ดีไซน์ไร้ความคิดมีเยอะเกินคณาจะนับไหว
ความอยากลองครั้งนี้ มันเลยนำพาให้ทำอะไรแบบลองใช้สมองนั่งสมาธิคิดบ้าง
ตอนนี้ก็ลองพยายามอย่างมากในการคิดต่อยอดอยู่ว่า จะเอาที่เราดีไซน์ ออกมาเดินเล่นอย่างไร????
เดินเล่นในที่นี้คือ เดินไปสาธารณะ เราเบื่อฟอร์มและรูปเล่มที่ถูกจำกัดทางการดีไซน์
(แม้ว่าในความเป็นจริง มันก็สามารถทดลองทำอะไรได้เยอะนะ)
แต่อยากทำอะไรข้างนอกบ้าง เอาสิ่งที่เราดีไซน์ไปพบปะพูดคุยกับคนแปลกหน้าบ้าง
รอดู feedback ตอบรับบ้าง คงจะเป็นประสบการณ์ และสนุกไม่น้อย
สุดท้าย...
ตอนนี้เรากำลังรวบรวมความคิด และแบ่งบทต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยุ่
พอเสร็จจะลองคิดชื่อหัวข้อโครงการ (เนี่ยล่ะคิดโคตรยากเลย)
ยังไงก็...ขอให้คิดเสร็จในเร็ววัน เผื่อจะได้เอาดีไซน์ออกไปเดินเล่น
จะได้เอาตัวออกไปสังเคราะห์แสงหาแรงบันดาลใจกัน *อ้อ!ลืมบอก..Obama กับ McCain เกี่ยวที่ว่า ทั้งสองถนัดซ้าย..